B2S
(หน่วย:ล้านบาท) | 2553 | 2554 | 2555(9m) |
รายได้ | 3, 179 | 3, 259 | 2, 682 |
กำไรสุทธิ | 75 | 7.8 | 90 |
OfficeDepo
ปี | 2553 | 2554 | 2555(9m) |
รายได้ | 2, 944 | 3, 008 | 2, 654 |
กำไรสุทธิ | 99 | 113 | 134 |
OFM(เดิม)
ปี | 2553 | 2554 | 2555(9m) |
รายได้ | 914 | 1, 090 | 1, 273 |
กำไรสุทธิ | 26 | 35 | 46 |
เนื่องจากงบปี 2555 ยังออกไม่เต็มปี ดังนั้นเทคนิคก็คือเราจะประเมินงบเต็มปีจากตัวเลข “เต็มปี” ของปี 2544 แล้วคูณด้วยการเติบโตของ 9 เดือนแรกของปีนี้แทน (ใช้การเติบโตของเก้าเดือนแรกของปีนี้เป็นตัวแทนของการเติบโตทั้งปีของปีนี้)
การเติบโตของรายได้ช่วง 9 เดือน ปี 55 เทียบปี 54
B2S | OfficeDepo | OFM | |
Sales Growth | 10.8% | 13.3% | 26% |
รายได้ของบริษัทใหม่ (the new OFM) ณ ปี 2555 จึงประมาณได้เท่ากับ 3259×1.108 + 3008x 1.133 + 1090×1.26 = 8, 392 ล้านบาท (ไม่แน่ใจว่า สามบริษัทนี้มีรายได้ระหว่างกันบ้างรึเปล่า แต่สมมติว่าไม่มีก็แล้วกัน)
Profit Margin ในระดับปกติของ Retailer ควรจะเท่ากับ 4% จะได้ว่า กำไรสุทธิของ the new OFM ในปี 2555 โดยประมาณ เท่ากับ 8392 x 0.04 = 336 ล้านบาท
the new OFM มีหุ้นเพิ่มขึ้น 4 เท่า จากของเดิม เพราะตกลงกันว่าให้กลุ่มจิราธิวัฒน์ถือหุ้น 75% และผถห. OFM เดิมทั้งหมดถือหุ้นรวมกัน 25% ดังนั้น บริษัทใหม่จะมีหุ้นทั้งหมด 320 ล้านหุ้น
ราคาหุ้น ณ เมื่อวานคือ 51.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Market Cap ใหม่ 51.75×320 = 16, 560 ล้านบาท
เท่ากับ PE ปี 2555 อยู่ที่ 16, 500/336 = 49 เท่า
ผู้บริหารบอกว่า บริษัทต้องการเติบโตปีละ 25% และยังขึ้นอยู่กับ Profit Margin ใหม่ว่าจะต่างจากที่ประมาณไว้ที่ 4% มากหรือน้อยแค่ไหนด้วย
กำลังพิจารณาอยู่เหมือนกันว่าอาจจะต้องพักโครงการ 20 บริษัทจดทะเบียนภาคสองไว้ก่อน หรือไม่ก็คงเขียนถึงแต่เฉพาะหุ้นตัวใหญ่ที่มีโวลุ่มมากๆ เท่านั้นแทน
ผมพูดเล่นนะครับพี่ ถ้าทำให้พี่คิดมาก ผมต้องขอโทษด้วย T-T
คิดมาก่อนแล้วจริงๆ ไม่ใช่กับกรณี ofm แต่เป็นกับตัวอื่นๆ ที่เพิ่งเขียนถึงไปครับ
ทำไมดู pe ใน set 323.25 และิ
ทำไม pe/pb ใน set สูงจัง วิธีการหามูลค่าหุ้นไม่เหมือนกันกับคุณสุมาอีหรือค่ะ
ของ set จะเป็น e, b ของ 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ผมจะใช้การ forecast e, b ของอีก 12 เดือนข้างหน้ามากกว่าครับ
สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่
ไม่ทราบว่าจะคิด การเติบโตของ 9 เดือนแรกของปี sales growth 10.8% 13.3% 26% ได้ยังงัยครับ
ขอบคุณครับ
ในงบการเงินไตรมาส 3 จะแสดงงบเก้าเดือนของปีล่าสุด กับปีก่อนหน้าเอาไว้ ให้เอารายได้ของทั้งสองปีมาดูว่ามันเพิ่มขึ้นเท่าไร
ขอถามนิดครับพี่นรินทร์ พอดีเพิ่งสงสัย
ณ ปี 55 นั้นที่ OFM กลายเป็นเจ้าของ office depo กับ B2S
นั่นเพราะว่า เขาแลกหุ้นกับ Central ใช่ไหมครับ ?
ณ เวลานั้นทำไม Central ถึงยอมละครับ ทั้งที่รายได้ของ office depo + B2S นั้น มากกว่า ofm มาก
เลยกลายเป็นว่าเหมือน ofm ได้ประโยชน์ไปมากเลย จากปี 54 ไปปี 55 รายได้และกำไร และกระโดดสูงหลายเท่าเลย
หรือผมเข้าใจผิดตรงไหนหรือเปล่าครับ ??
สัดส่วนของการแลกหุ้นคือ เมื่อรวมกันแล้ว Central ได้เป็นเจ้าของบริษัทใหม่ 75% ส่วน OFM ได้เป็นเจ้าของ 25% ดังนั้น ก็เท่ากับว่า ของเดิม B2S+OfficeDepo มีมูลค่ามากกว่า OFM 3 เท่าตัวครับ ตรงจุดนี้เป็นจุดที่ทั้งสองฝ่ายคิดว่าพอใจ
และเมื่อรวมกิจการกันแล้วรายได้และกำไรก็ต้องเพิ่มขึ้นมาก เพราะมี B2S+Depo เข้ามารวมด้วย จากที่เดิมเป็นบริษัทอยู่นอกตลาด
อ๋อ สมมติว่าตอนแรกเจ้าของ OFM มีสัดส่วนหุ้น x% พอกลายเป็นบริษัทใหม่ OFM โตขึ้นสมมติประมาณ 3 เท่า แต่สัดส่วนในการถือหุ้นของเจ้าของ OFM เดิมก็ลดลงเป็นประมาณ x/3 % ด้วย ซึ่งทำให้สุทธิแล้วไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันมาก
ประมาณนี้สินะครับ 😀
ไม่ใช่ 3 ต้องประมาณ 4 สินะครับ
ถูกครับ