ณ ตอนที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ โลกการลงทุนกำลังอยู่ในช่วงที่ทุกคนมองร้าย แทบไม่เหลือใครที่คิดว่าตลาดจะขึ้น ไปทางไหนก็มีแต่คนมองลง ใครที่คิดว่าตลาดจะขึ้น พูดอะไรจะไม่มีใครเชื่อถือ
มันเป็นสภาพที่ตรงกันข้ามกับเมื่อหนึ่งปีที่แล้วโดยสิ้นเชิง เวลานั้นทุกคนมองขึ้นกันหมด โลกของเรากำลังกลายเป็นดิจิตอล Clubhouse เต็มไปด้วยห้องที่พูดเรื่องหุ้น Tech นักลงทุนเข้าฟังกันแน่นขนัด ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไป ตอนนั้นทุกคนกำลังมองผิด เพราะหลังจากนั้นตลาดไม่ได้ขึ้น แต่กลับลงอย่างแรง
อาจเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของตลาดที่มันจะเหวี่ยงกลับไปกลับมาในแบบที่สุดโต่งมากเกินไปเสมอ และสิ่งที่ทำให้เป็นแบบนั้นก็คือ “ราคา” ราคาที่ส่งผลต่อความคิดของผู้คนเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานมากที่สุด (แทนที่ความคิดของคนเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะส่งผลต่อราคา)
ก่อนหน้านี้ เฟดลดดอกเบี้ยเหลือ 0 แถมพิมพ์เงินแบบ unlimited เป็นการปั่นตลาดไปในทางขึ้น ยิ่งราคาขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คนยิ่งมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานมากเท่านั้น (พื้นฐานคงจะดีจริงๆ ไม่งั้นราคาคงไม่ขึ้นไปขนาดนี้) ยิ่งคนมั่นใจก็ยิ่งเอาเงินซื้อ ราคาก็ยิ่งขึ้น ราคาที่ขึ้นก็ยิ่งทำให้คนมั่นใจมากขึ้นอีกไม่รู้จบ เป็นภาวะฟองสบู่ขาขึ้น
ตอนนี้เฟดก็กำลังทำสิ่งเดียวกัน แต่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม ตอนที่เฟดเพิ่งพูดใหม่ๆ ว่าจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย ทุกคนก็คิดว่าคงลงไม่เท่าไหร่ พื้นฐานเศรษฐกิจยังดูแข็งแกร่ง พอเฟดขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด ราคาหุ้นที่ย่อลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของคน จากที่มองบวก ก็เริ่มมองเป็นกลางๆ และกลายเป็นมองลบในที่สุด ตอนนี้แทบไม่เหลือใครแล้วที่ยังมองบวกอยู่ ความคิดของคนกำลังเหวี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่า หนนี้จะยังไปต่ออีกนานขนาดไหน เพราะพฤติกรรมหมู่เป็นเรื่องยากที่จะทำนายได้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่
การมองบวกหรือมองลบไม่ใช่ปัญหา ทุกคนสามารถมีมุมมองเกี่ยวกับตลาดได้ แต่ปัญหาจริงๆ มันอยู่ตรงที่ การมองบวกหรือมองลบของเราได้รับอิทธิพลจาก “ราคา” ซึ่งที่ถูกมันควรจะเป็นตรงกันข้าม มุมมองของเราเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานต่างหากที่ควรจะส่งผลต่อราคา ไม่ใช่กลับกัน เวลาตลาดเขียวทุกวัน เราก็จะยิ่งมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานมากขึ้นเรื่อยๆ สื่อก็จะนำเสนอแต่ข่าวดี เพราะข่าวที่สอดคล้องกับสิ่งที่นักลงทุนเชื่ออยู่ก่อนแล้วจะได้ยอดวิวที่ดีกว่า ข่าวดีที่เต็มตลาด (เพราะเลือกมองแต่ข้อดี) ก็ยิ่งทำให้คนยิ่งเชื่อมั่น
เวลานี้ข่าวร้ายเต็มตลาดไปหมด หรือข่าวดีก็ถูกตีความเป็นข่าวร้าย ช่วงเวลาแบบนี้จะมีพวก Doomsayer โผล่ออกมาเต็มไปหมด เพราะช่วงเวลาแบบนี้พูดแล้วมีคนเชื่อ ราคาที่ลงทุกวันทำให้คำทำนายร้ายๆ ต่างๆ ดูน่าเชื่อถือ ทุกอย่างจะต้องเลวร้ายลงกว่านี้อีก ช่วงนี้มีแต่ข่าวร้ายที่ได้ยอดวิว ใครยิ่งทายร้ายเท่าไหร่ก็จะยิ่งดูหล่อ เป็นกูรู เป็นศาสดาพยากรณ์ นักลงทุนกำลังผิดพลาดแบบเดิมกับเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว แต่หนนี้ในทิศทางที่ตรงกันข้าม น่าสังเกตว่าเวลา Doomsayer ออกมาพูดว่า วิกฤตกำลังจะมา พวกเขาจะทำนายถูกเสมอ เพราะว่าไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่ การทายว่าวิกฤตจะเกิดขึ้นในที่สุด ยังไงก็จะถูก เพราะวิกฤตคือสิ่งที่อยู่คู่กับวัฏจักรเศรษฐกิจอยู่แล้ว ถ้ารอไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วยังไงก็ต้องเกิดขึ้นสักปี
ผมยังจำตอนที่โควิดมาใหม่ๆ ได้ ตอนนั้นหุ้นไทยลงจาก 1,7xx จุด เหลือแค่ 9xx จุดในเวลาแค่ไม่ถึงสามเดือน ตอนนั้น Doomsayer ออกมาบอกว่า โควิดจะทำให้บริษัทต่างๆ พากันล้มละลายเป็นโดมิโน่ ระบบการเงินของโลกจะล่มสลาย ซึ่งฟังดูแล้วก็น่าเชื่อ เพราะเห็นราคาหุ้นลงทุกวันเหมือนทุกอย่างกำลังจะพังลงจริงๆ วันสุดท้ายที่หุ้นไทยลงแรงที่สุด เป็นวันที่มันลงแรงมากๆ จนทำให้ผมรู้สึกว่า โอกาสที่มันจะลงต่อไปอีกน่าจะเท่ากับ 100% แต่ก็น่าแปลกมากที่วันสุดท้ายที่หุ้นหลุด 1000 จุด กลับกลายเป็นวันที่หุ้นถูกที่สุด สุดท้ายแล้วระบบการเงินที่ล่มสลายก็ไม่ได้เกิดขึ้น มิหน่ำซ้ำเฟดยังออก unlimited QE ออกมา ทำให้ราคาหุ้นวิ่งกลับขึ้นไปอย่างแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แปลกแต่จริงที่วันที่ตลาดดูน่ากลัวที่สุด มักจะเป็นวันที่หุ้นน่าซื้อมากที่สุดด้วย
น่าสนใจว่าตอนนี้ก็มีอะไรคล้ายๆ กัน มี Doomsayer เรียงหน้ากันออกมาบอกว่า ครั้งนี้จะไม่เหมือนทุกครั้ง Recession ครั้งนี้จะรุนแรงและยาวนานมากกว่าครั้งไหนๆในอดีต the winter is coming ตลาดยังลงไม่ถึงครึ่งเดียว ฯลฯ ทุกอย่างกำลังวนเวียนกลับมาที่เดิม เราเป็นแค่ตัวเลมมิ่ง ที่มีความจำระยะสั้น และไม่เคยได้รับบทเรียนจากความผิดพลาดในรอบก่อนๆ