ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ผู้ก่อตั้ง บมจ.พฤกษา เริ่มต้นชีวิตการทำงานหลังจบ ป.ตรี วิศว จุฬา ด้วยการเป็นวิศวกรกินเงินเดือนเหมือนคนทั่วไป หลังจากนั้นเขาก็เริ่มต้นทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของตัวเอง โดยใช้ทุนเริ่มต้นส่วนตัว 2-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่เขาพบว่า ไม่ใช่น่าทำเท่าไรนัก เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักกำไรปีหนึ่ง ขาดทุนอีกสองปี สลับกันไปเรื่อยๆ (ยกเว้นจะมีเส้นสายมั้ง [ผู้เขียน]) คนที่ได้กำไรคือ Developer มากกว่า
วันหนึ่ง เพื่อนคุณทองมาชวนไปดูโครงการบ้านทำให้เขาเกิดไอเดียว่า ตลาดบ้านจัดสรรดูผิวเผินแล้วเหมือนเป็นวัฏจักร แต่ที่จริงความต้องการบ้านนั้นมีอยู่มากมายตลอดเวลา เพียงแต่ผู้ซื้อไม่มีรายได้พอที่จะซื้อได้ ถ้าหากทำให้บ้านถูกลงได้ จะขายบ้านได้มหาศาล ทำให้เขาเริ่มสนใจธุรกิจนี้และเริ่มต้นจากโครงการบ้านระดับราคาทั่วไปก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั้งเริ่มทำโครงการบ้านราคาต่ำเป็นโครงการแรกชื่อ พฤกษา 1 ย่านรังสิต โดยจับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยเป็นหลัก จำนวนยูนิตมากๆ (พันยูนิต) เน้นราคาต่ำ ปรากฏว่า ขายดีมาก แต่เป็นเพราะคำนวณต้นทุนผิดเอง ทำให้ราคาถูก พฤกษา เลยต้องทำโครงการนั้นจนเสร็จ โดยแทบไม่ได้กำไรเลย เหนื่อยฟรี
โครงการต่อๆ มา พฤกษา ก็เน้นกลุ่มเป้าหมายเดิมอีก โดยเน้นทำโครงการทาวน์เฮ้าส์ ย่านรังสิต เน้นขายมากๆ และการควบคุมต้นทุน จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พฤกษามีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนคือ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ที่สำคัญได้แก่ Tunneling และ Precast โดยเฉพาะ Precast นั้นพฤกษาลงทุนก่อสร้างโรงงานผนังสำเร็จโดยใช้เทคโนโลยีที่นำเข้ามาจากเยอรมันมูลค่า 650 ล้านบาท
เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างต่ำลง (สูงขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเป็นคอนกรีตทั้งหมดแทนที่จะเป็นอิฐ) แต่มีข้อดีคือช่วยลดเวลาก่อสร้าง จากแนวราบที่ทั่วไปสร้างกัน 9 เดือนก็เหลือแค่ 4 เดือน เวลาก่อสร้างลดลงทำให้ค่าแรงต่อหน่วย (ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นต้นทุนการก่อสร้างที่สำคัญมาก) ต่ำกว่าคู่แข่ง และยังช่วยให้บริษัทได้เปรียบในภาวะที่แรงงานขาดแคลนอีกด้วย
เวลาการก่อสร้างที่ลดลงยังช่วยประหยัดเงินทุนหมุนเวียนและดอกเบี้ยให้บริษัทอย่างมาก PS ยังสร้างความได้เปรียบให้มากขึ้นอีกด้วยการจ้างไอบีเอ็มให้มาทำระบบที่ช่วยให้บริหารวัสดุก่อสร้างแบบ Just in Time ทำให้ Days Inventory ต่ำลงอีกด้วย
ข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุนทำให้ PS สามารถใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจที่ง่ายมากคือ ตั้งราคาขายบ้านให้ต่ำกว่าคู่แข่งที่ขายบ้านแบบเดียวกัน ในทำเลที่ใกล้้เคียงกัน 15% เสมอ ราคาถือเป็นจุดขายที่สำคัญมากของบ้านในตลาดล่างเพราะราคาขายที่ต่ำลงอีก 1-2 แสนบาท หมายถึงลูกค้าจำนวนมหาศาลที่เดิมไม่กู้เงินซื้อบ้านได้ เพราะฐานเงินเดือนไม่ถึงจะสามารถซื้อบ้านได้ (แต่กลุ่มลูกค้าในตลาดล่างของ PS ต้องเป็น blue collar ระดับพวกหัวหน้าคนงานขึ้นไป ผู้ใช้แรงงานจริงๆ นั้นก็ยังอยู่ในตลาดบ้านเช่า)
ในช่วงตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงราวๆ ปี 2548 นั้น รายได้ของ PS เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 20% ทุกปีติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากราวกับธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจวัฏจักร ซึ่ง PS ทำได้ง่ายๆ แค่เพียงแค่เปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่ในย่านรังสิตและบางบัวทองไปเรื่อยๆ เท่านั้น และยังเป็นการเติบโตที่แปลกกว่า Developer ทั่วไปที่ปกติย่ิงโตยิ่งต้องกู้เงินมากขึ้น แต่ PS เติบโตโดยใช้ Equity เป็นหลัก ยิ่งโต D/E ยิ่งต่ำลง จนปัจจุบัน PS ครองตลาดทาวน์เฮ้าส์เกิน 50% ไปแล้ว ทำให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาแข่งด้วยการซื้อเทคโนโลยีแบบเดียวกันมาใช้ได้อีก เพราะจะไม่มีฐานลูกค้ารองรับ (ผู้ผลิตรายอื่นที่ใช้ Precast ทุกวันนี้เป็นเทคโนโลยีแบบ scale เล็กๆ เท่านั้น) และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ Developer อื่นเลียนแบบ PS ได้ยากคือการที่ PS เป็น Developer ที่คุมงานก่อสร้างเอง ในขณะที่ Developer ทั่วไปจะเป็นบริษัทการตลาด ที่ว่าจ้าง prime contractor คุมงานก่อสร้าง ทำให้มีวัฒนธรรมที่ต่างกัน
ปี 2549 PS เริ่มออกจากโซนร้งสิตบางบัวทองเป็นครั้งแรกเพื่อมาแสวงหาการเติบโตใหม่ๆ ในกรุงเทพและปริมณฑลทั้งหมด และได้ขยายเซ็กเมนต์ไปเป็นตลาดกลางล่างทั้งหมดอีกด้วย โดยตั้งเป้าจะเป็น Developer อันดับหนึ่งของไทยภายในปี 2553 แทนที่ LH ซึ่งเวลานั้นมีรายได้มากกว่า PS ถึงสองเท่าตัว เกจิในวงการทั้งหุ้นและอสังหาเวลานั้นต่าง “ขำกลิ้ง” กันเป็นอันมาก เซียนหลายคนมองว่า PS ไม่มีทางโตเร็วได้ เพราะในขณะนั้นก็เป็นอันดับสองของวงการแล้ว แต่กลายเป็นการมองที่ผิดพลาด เพราะหลังจากนั้น พฤกษากลับโตเร็วกว่าอดีต ทำให้กลายเป็นแซง LH ได้ในปี 2552 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ถึงหนึ่งปี ทำเอาเกจิทั้งหลายหน้าแตกไปตามๆ กัน (ทั้งเจ็บและอาย)
ผมคิดที่ PS ทำเช่นนั้นได้เป็นเพราะ ก่อนหน้านี้ PS ไม่เคยออกจากโซนรังสิตบางบัวทองมาก่อนเลยแต่ก็สามารถขายได้ปีละ 8 พันล้านบาทแล้ว ในขณะที่ Developer อื่นขยายตัวจนเต็ม กทม.มาตั้งแต่เปิดบริษัทแล้ว ก็ยังขายได้ไม่ถึง 8 พันล้าน (ยกเว้น LH, SIRI) ดังนั้นเมื่อ PS ออกจากโซนรังสิต ก็เพียงแค่ replicate กลยุทธ์เดิม กับ area ใหม่ ที่ใหญ่กว่าเดิมมาก PS จึงมีช่องว่างให้เติบโตได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวราคา 1-3 ล้านบาทซึ่งราคาขายก็มีผลไม่น้อยเหมือนกัน แต่ PS ไม่เคยเข้าสู่ตลาดนี้มาก่อนจึงกินส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวได้อย่างรวดเร็วมากจนปัจจุบันอยู่ที่ 20% แล้ว
PS มองว่า ใน 2-3 ปีข้างหน้า กรุงเทพและปริมณฑลจะยังเป็นฐานให้สามารถเติบโตได้อีกในอัตรา 25% ต่อปีก่อนที่จะเริ่มเล็กเกินไปสำหรับ PS ที่จะโตมากๆ (ซึ่งอันนี้ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่)
ส่วนตลาดคอนโดฯ นั้น PS ก็เข้าไปด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าถ้าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปซื้อคอนโดมากขึ้นในอนาคต PS จะไม่ได้หลุดออกจากตลาด แต่ในแง่กลยุทธ์แล้ว PS ไม่ได้มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน ความเป็น engineering-centric ยังทำให้การตลาดกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของ PS อีกด้วย อย่างไรก็ตามในช่วงสองปีที่ผ่านมา PS มีการพัฒนาเรื่องการตลาดอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งแม้ว่าอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ PS โดดเด่นในตลาดคอนโดได้ แต่ก็น่าจะทำให้ PS สามารถเกาะกลุ่มในระดับเฉลี่ยไปได้ อนาคตที่แท้จริงของ PS ยังน่าจะเป็นตลาดบ้านเดี่ยวที่ยังเหลือทำเลใหม่ๆ ในเล่นอีกและตลาดทาวน์เฮ้าส์ที่เริ่มมีสัญญาณกลับมาเติบโตใหม่อยู่เช่นเดิม
PS กำลังพยายามเจาะตลาดต่างประเทศ เช่น เวียดนาม มัลดีฟส์ และอินเดีย เพื่อเตรียมไว้เป็นฐานสำหรับการเติบโต หลังจากกรุงเทพและปริมณฑลจะเริ่มเล็กเกินไปในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งการเจาะตลาดต่างประเทศต้องใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้าหลายปี ขณะนี้ PS เริ่มมียอดขายโครงการแรกในมัลดีฟส์แล้ว แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่เล็กมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัท บังกาลอร์ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีลุ้น ส่วนมุมไบกับเวียดนามนั้นอาจต้องรออีกสักพัก เนื่องจากความยากในการจัดหาที่ดิน กลยุทธ์ที่บริษัทใช้ในการบุกตลาดต่างประเทศคือ การมองหาเซ็กเมนต์ใหม่ๆ ที่น่าจะมีความต้องการแฝงอยู่ แต่ยังไม่มีใครทำมาก่อน และเป็นเซ็กเมนต์ที่บริษัทสามารถใช้การควบคุมต้นทุนของบริษัทมาเป็นจุดแข็งได้ เช่น Tunneling และ Precast แบบหน้าไซด์งาน เพราะในช่วงแรกคงยังไม่สามารถสร้างโรงงาน Precast ในประเทศเหล่านี้ได้ทันที เพราะลูกค้ายังน้อยเกินไป ตลาดตปท.ยังไม่น่าจะมีผลต่อรายได้รวมของบริษัทเลยในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้
สำหรับปี 2554 นั้นเป็นปีที่ยากของกลุ่มอสังหาฯ เพราะการที่มาตรการภาครัฐฯ หมดลง ทำให้บริษัทต้องกลับมามีค่าใช้จ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเท่ากับ 3-4% ของรายได้ หรือประมาณ 30% ของกำไรเลยทีเดียว เท่ากับว่าการขายได้มากขึ้น 30% ก็แค่ทำให้กำไรเท่าเดิมได้เท่านั้น แต่เนื่องจากราคาบ้านที่สูงขึ้นเนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น ประกอบกับมาตรการภาษีที่ดึงความต้องการล่วงหน้าไปแล้ว ทำให้แค่การทำรายได้ให้เท่าเดิม ก็ยังยากเลย ในส่วนของ PS เองนั้นปีที่แล้ว ยอดจองก็ทะลุเป้าไปมาก (+70%) ทำให้ยากมากที่ยอดจองของ PS จะสูงกว่าปีก่อน บริษัทจึงตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายปี 54 ไว้เพียง 8% เท่านั้น (แต่ยังคงเป้าหมาย 3 ปีไว้ที่ 25% ต่อปีเหมือนเดิม) ส่วนเป้ารายได้คือ +37% เพราะยอดจองปีที่แล้วที่สูงมากจะกลายเป็นรายได้ในปีนี้ทำให้บรรลุได้ไม่ยาก บริษัทยังเริ่มรุกเข้าไปในตลาดจังหวัดด้วย เพื่อเป็นการหาตลาดมาทดแทนตลาดกทม.ปีนี้ซึ่งน่าจะค่อนข้างอืด ทั้งที่ตลาด ตจว.ไม่ใช่เป้าหมายระยะยาวของบริษัทเพราะเป็นตลาดที่เล็กมาก ทุกจังหวัดรวมกันเล็กกว่ากทม.และปริมณฑลถึง 5 เท่า จึงไม่ค่อยมีประโยชน์ที่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง PS จะเข้าไปเพื่อแสวงหาการเติบโต)
เมื่อวันเสาร์ผมก็เพิ่งไปดูบ้านพฤกษา 48 มาเหมือนกันล่ะท่านสุมาอี้ ผมถ่ายคลิปการก่อสร้างเอาไว้ด้วย => http://www.youtube.com/watch?v=5vU3NFVeQlw
โอ้ว น่าสนใจครับ เหมือน Reality Show เลย 🙂
เห็น Mint Banpu จัดเกรดให้ในแง่การลงทุน แล้วพี่ให้ PS อยู่เกรดอะไรครับ 🙂
Look at this comments, it not so good.
http://www.prakard.com/default.aspx?g=posts&t=110782
เป็นอีกตัวนึงที่น่าสนใจนะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล
เสริมข้อมูล ไม่มีสาระนิดๆหน่อยๆครับ
16ม.ค.54 PS เปิดรับสมัครงาน ชื่องานว่า เปิดบ้านพฤกษา
ผู้สมัครเกือบห้าร้อยคน ต่อคิวยาว ล้นทะลักถึงหน้าโถงลิฟท์ -“-
พศ.นี้ เทียบ developer ทั้งหมดในบ้านเรา PS ให้อัตราเงินเดือน(วิศวกร)น่าจะมากที่สุด ยังไม่รวมโบนัสหนักๆอีก ขั้นต่ำ6เดือน
งานเลี้ยงประจำปีภายในบริษัทจัดที่อิมแพค อลังการ น้องๆแบบเบิร์ดเบิร์ด
@Pol_Ek ชอบตัวนี้เท่าบ้านปู
PS สอนให้ LH ซึ้งกับประโยคที่ว่า.. สั้นแต่ขยันซอย ก็ชนะได้ว๊อย ^^
ปล.clipคุณไท้(ความเห็นที่1)ประโยคสุดท้ายเด็ดสุด เด๋วลองเอาใช้ไปจีบหญิงดูดีกั่ว
จับตา ดู โซน บางใหญ่ บางบัวทอง ให้ดีครับ โซนนี้กำลังจะกลายเป็น ทำเลทอง รถไฟฟ้ามาถึงเเล้ว ดูดีกว่า โซน คลองรังสิตอีก
ก็ว่ากันว่าห้าปีข้างหน้านี้รอบๆ ปริมณฑลของกทม.น่าจะบูม เพราะรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเริ่มไปถึง
ถ้าเป็นจริง ก็น่าจะเข้าทางพฤกษาอีก เพราะแนวราบแถบปริมณฑลคือ core strength เดิมของบริษัทอยู่แล้ว
ถ้าเช่นนั้น ตามที่พี่บอกใน 7thltg มีหุ้นเกรด A 2 ตัว นั่นก็คือ Banpu , PS … เซอร์ไพรซ์ PS มากเลยครับที่ได้เกรดเอ แต่เข้าใจว่าสามารถโตโดยแย่งส่วนแบ่งตลาดจากรายอื่นๆได้อีก ถึงแม้ตลาดโดยรวมจะไม่โต ^ ^
ขอถามพี่โจ๊กหน่ิอยนะครับว่า…
ที่พี่โจ๊กบอกว่าชอบ พฤกษา เท่ากับ บ้านปู ซึ่งได้เกรด A
ผมเลยอยากทราบความเห็นว่าอะไรที่ทำให้พี่โจ๊ก ชอบ พฤกษา มากกว่า บริษัทที่ดูแข็งแกร่งอย่าง CPALL BGH CPN ครับ
ส่วนตัวผมก็ชอบ PS นะครับ เติบโตสูง มีความได้เปรียบคู่แข่งรายอื่น โดยมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า มีการหมุนAssetได้เร็วกว่า และ มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง
แต่ผมสงสัยครับว่า
-ด้วยMarket Share ที่ใหญ่เป็นอันดับ1แล้ว ใน3ปีนี้ ท่ามกลางตลาดที่ไม่ค่อยโต เขาจะสามารถเติบโตในระดับสูง โดยอาศัยการกินShareจากคนอื่น ได้เหมือนเดิมได้หรือไม่?
-ในอีก3ปีข้างหน้า ที่เขาจะออกไปโตในต่างประเทศ จะสำเร็จเหมือนไทยหรือไม่? และ อัตราทำกำไร จะสู้ขายอสังหาในบ้านเราได้หรือไม่?
ซึ่งถ้าให้ผมเลือกว่าบริษัทไหนได้เกรด A ใน 7thLTG
มันก็น่าจะมี CPALL ติดอยู่ในนั้นอะครับ เพราะ เติบโตก็ดีต่อเนื่อง แข่งแกร่งมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งพอมองไปข้างหน้า ก็น่าจะเติบโตจากสาขาที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของSame Store Sell และ อัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้าด้านอาหาร
สรุปคือ
PS ดี แต่ผมเห็นอุปสรรคหลายๆิอย่าง
CPALL ดี แต่ผมเห็นอุปสรรคน้อยกว่า
ส่วน CPN กับ BGH ก็ดูๆแล้วน่าจะเติบโตได้เรื่อยๆ โดยน่าจะมีอุปสรรคที่ขัดขวางการเติบโตที่น้อยกว่า
ทั้งหมดนี้เป็นความคิดของผมเองนะครับ ถ้ามีมุมมองที่ไม่ถูกต้องก็ขอโทษด้วยนะครับ
ผมไม่มีหุ้นที่เอ่ยๆมาเลยครับ แค่อยากทราบมุมมองการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง
เลยอยากทราบความคิดเห็นครับ ว่าพี่โจ๊กมีความคิดเห็นอย่างไรครับ?
ปล.สำหรับพี่โจ๊กเป็นIDOL และผู้มีพระคุณสำหรับผมเสมอมาครับ
ผมได้รับความรู้ และ แนวคิดสำหรับการดำเนินชีวิตที่ดีหลายๆอย่างจากพี่โจ๊กครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ ฟืน อาจเป็นเพราะการให้เกรดของผม ผมให้น้ำหนักกับตัวองค์กรเองมากกว่าอุตสาหกรรมที่องค์กรอยู่ละมังครับ
CPALL, BGH อยู่ในอุตสาหกรรมที่ทำกำไรได้ง่ายเป็นอุตสาหกรรม A+ แต่ในแง่องค์กร สองตัวนี้ผมให้แค่ B และ B+ ตามลำดับครับ
คำถามที่ว่า PS จะโตได้อีกเหรอไม่ เป็นคำถามที่ผมได้ยินมาตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่ห้าปีที่ผ่านมามันก็พิสูจน์ว่า PS เติบโตแบบก้าวกระโดดสูงกว่า Developer ตัวเล็กๆ เป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะเหตุผลที่มาจากตัวบริษัทเองไม่เกี่ยวกับตลาดโดยรวม และผมก็ยังเชื่อว่า PS ยังเหลือช่องว่างให้โตในกทม.ได้อีกพอสมควรด้วยการเข้าไปในทำเลอีกหลายจุดและอีกบางเซ็กเมนต์ที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไป ซึ่งจะต่างกับ Developer รายอื่น ที่ลุยจนทั่วกทม.มานานหลายปีแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปี 54 การเติบโตก็อาจไม่สวยหรูเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นปีที่ตัวช่วยของภาครัฐฯ หมดไปแล้ว และภาวะตลาดช่วงที่ผ่านมาที่ดีมากได้ดึงดีมานด์ล่วงหน้าไประดับหนึ่ง ค่าน้ำมันปีนี้ก็แพง ดอกเบี้ยก็ขาขึ้น ทำให้เป็นปีที่ค่อนข้างจะยาก แต่สักพักหนึ่งก็น่าจะโตต่อได้ครับ
ส่วนเรื่องตปท.นั้น ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะออกหัวหรือก้อย คงต้องให้เวลาสัก 3 ปี ถึงเวลานั้นแล้วค่อยมาคิดว่า PS จะยังเป็น growth stock ต่อไปหรือไม่ก็ยังทันครับ
เข้าใจแล้วครับ ที่ผมมองต่างไปจากพี่
ส่วนหนึ่งคงมาจากผมมองผสมๆทั้งบริษัท และ อุตสาหกรรมที่บริษัทอยู่นั่นเอง
แต่ก็จะรออ่านบทความที่พี่วิจารณ์ CPALL BGH CPN ครับ
ว่าพี่มีความเห็นอย่างไร และ ทำไมถึงให้ CPALL แค่B และ BGH B+ ซึ่งเหนือกว่าCPALL
ติดตาม และ รอคอยผลงานของพี่โจ๊กอยู่เสมอค้าบบบ
ขอบคุณพี่โจ๊กมากครับ
น่าสนใจมากครับ
บทความยังคงให้ความรู้เยี่ยมๆอีกเช่นเคย
ช่วงนี้สนใจPSมากต้องมาอ่านอีกรอบ
รู้สึกตอนนี้ลงมาฮวบเลยนะคับพี่โจ๊กกับ PS บริษัทได้ปรับแผนการลงทุนโครงการใหม่ในปี 2555 ลงเหลือ 40-50 โครงการ จากปีนี้ที่ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 78 โครงการ มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับพี่โจ๊ก
@KevinJeed
PS ลดโครงการลงก็น่าจะเป็นการประเมินภาวะตลาดแล้วปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ น่าจะเหมาะสมแล้วนะครับ ไม่ฝืนตลาด
อาจเป็นสัญญาณจากผู้ประกอบการด้วยว่าตลาดอสังหาในช่วงต่อไปอาจจะฝืดๆ
ผมฟังสัมภาษณ์ผู้บริหารจาก eFinance เห็นบอกว่า จะปรับเปลี่ยนกลยุทธในปีหน้า ไม่เน้นก้าวกระโดดเยอะ ไม่เน้นขายเยอะ แต่จะเน้น margin แทน .. เท่าที่ฟังจะถือว่า PS ไม่ใช่ growth stock ในปีถัดๆไปหรือป่าวครับ
ชอบมากๆครับ สำหรับตัว PS เนื่องจากกลยุทธุ์ของทาง PS เอง
ที่เน้นการสร้างบ้านแบบโรงงานได้ราคาถูก คุณภาพปานกลาง
Ps ทำได้ดีที่สุดในอุตสาหกรรมจริงๆครับ
ผมคิดว่ามีคนอีกเยอะต้องใช้บ้านที่ผลิตออกมาเป็นเเมสแบบนี้
ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ขอบคุณครับ
อีก3ปีจากนี้ไปไม่รู้ว่าสัดส่วนรายได้(บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าว์ คอนโด )เป็นอย่างไร แถวสมุทรปราการและโซนตะวันออกก็น่าสนใจไม่ค่อยเห็นมีโครงการของ ps ส่วนตลาดรับสร้างบ้านอย่าง พี ดี เฮ้าท์ มีผลกระทบต่อรายได้หรือเปล่า บริษัทมีที่ดินสำหรับโครงการใหม่ที่ไหนบ้าง ไม่ค่อยมีข่าว
ตลาดรับสร้างบ้านเป็นลูกค้าคนละกลุ่ม แทบจะไม่มีผลกระทบซึ่งกันและกันครับ
ส่วนเรื่องที่ดิน ในยุค 2-3 ปีหลัง พฤกษากระจายตัวทั่วกรุงเทพมากขึ้น ขนาดต่อหนึ่งโครงการเล็กลง เพื่อให้ปิดโครงการได้เร็วขึ้น แต่เพิ่มจำนวนโครงการต่อปีให้มากขึ้น
อ่านแล้วรู้สึกยินดีกับการมองตลาดที่เฉียบคมของคุณทองมา และความสำเร็จของพฤกษานะครับ แล้วในด้านการดูแลลูกค้า และความรับผิดชอบต่อสินค้า (บ้านที่ขายให้ลูกค้าไป) นี่เป็นอย่างไรบ้างครับ
คือผมซื้อเทาว์เฮาส์ พฤกษาวิลล์ 32 ถ.พระราม 2 และผ่อนมา 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังเข้าอยู่ไม่ได้ เพราะเสียหาย-ซ่อม ซ้ำแล้วซ้ำอีกมาเกิน 1 ปีแล้วครับ ปัญหาล่าสุดตอนนี้คือเสาด้านหน้าทรุดตัว และดึงให้ตัวบ้านฉีกออก ลามไปถึงห้องด้านหลังแล้ว …ผมประสงค์จะขอคืนครับ เพราะได้ขอให้ซ่อมแซมมาครั้งแล้วครั้งเล่า และปัญหาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ปีกว่าที่ฝ่านมาต้องอาศัยสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคมาช่วยตามเพราะตอนแรกผมแจ้งให้นิติบุคคลของโครงการให้มาซ่อมแต่ไม่ยอมมาทำให้ 3 เดือนกว่าผ่านไป ผมจึงต้องขอให้สคบ.เช้ามาช่วย แต่พอซ่อมเสร็จครั้งแรกเรื่องบ้านร้าว ก็เกิดปัญหาน้ำรั่วทั้งจากน้ำฝนด้านนอกรั่วมานองในบ้าน ทั้งจากประปาในบ้านมีปัญหา ก็ร้องให้มาซ่อมอีกครั้ง กระทั่งผมเริ่มย้ายของเข้าบ้าน ปรากฎว่าเสาหน้าบ้านเกิดทรุด แล้วรั้งดึงให้กำแพงบ้านเริ่มแยกตัวตามๆ กันไป ทั้งหมดนี้เริ่มเกิดตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2011 และแจ้งให้นิติบุคคลมาซ่อมในเดือนพย. 2011 จนวันนี้เรื่องอยู่ที่สคบ. บ้านฉีก ผมยังต้องผ่อนแบงค์ และออกมาเข้าห้องอยู่ปีกว่าแล้ว
ดีใจที่เห็นความสำเร็จอย่างมากมายของ บริษัท มหาชน จำกัดพฤกษาเรียลเอสเตท แต่อยากทราบนโยบายด้านการดูแลลูกค้า และความรับผิดชอบต่อลูกบ้าน ซึ่งตกเป็นเหยื่อไปแล้ว และต้องรับผิดชอบต่อสินค้า defect นี้เพียงลำพังกับความช่วยเหลือของสคบ. ครับ
ขอบคุณครับ
ผมเป็นเพียงนักลงทุน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท จึงไม่มีข้อมูลทั้งสองทาง คงต้องติดต่อกับทางบริษัทโดยตรงนะครับ
อุ่ย! ผมต้องขอโทษอย่างแรงนดครับ พอดี search ละก็ได้เข้ามาอ่าน เลยเขียนเมนต์ไว้น่ะครับ
ขอโทษด้วยนะครับ