การประมาณอัตราการเติบโตที่แท้จริงของธุรกิจในระยะยาวนั้น เราควรดูจากด้านของรายได้มากกว่ากำไร (Top line growth vs. Bottom line growth) เพราะยิ่งตัวเลขอยู่บรรทัดล่างๆ ของงบกำไรขาดทุนมากเท่าไร ก็จะยิ่งถูกกระทบด้วยปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเติบโตของตัวธุรกิจมากเท่านั้น (non-recuring items, gains from asset sales, choice of depreciation methods เป็นต้น ) จนแทบไม่เหลือภาพของการเติบโตที่แท้จริงให้เรามองออกเลย [premium level=”1″ teaser=”yes” message=”โปรดล็อกอินเพื่ออ่านบทความเต็ม หรือสมัครสมาชิกรายปี”]
การตัดสินบริษัทจากกำไรอย่างเดียวยังทำให้เราเป็นคนมองสั้นโดยไม่รู้ตัวด้วย เพราะในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นการทำธุรกิจนั้น ยากที่บริษัทจะรักษากำไรให้เพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงได้ ธุรกิจย่อมมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือบางครั้งบริษัทเองก็ต้องยอมลงทุนล่วงหน้าไปก่อนทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในช่วงแรก แต่ก่อให้เกิดรายได้ที่กลับมาในงวดบัญชีถัดๆ ไปได้มากกว่า ถ้าเรามองแต่กำไรรายไตรมาส เห็นกำไรลดลง แล้วมองว่าพื้นฐานของบริษัทแย่ลงทันที ก็กลับกลายเป็นการมองที่ผิดทาง เพราะที่จริงแล้วกำไรที่ลดลงชั่วคราวนั้นก่อให้เกิดกำไรที่สูงขึ้นในช่วงถัดไปต่างหาก ความผันผวนของกำไรในช่วงสั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะวิตกกังวลมากเกินไป ต่างกับรายได้ ซึ่งหากลดลง yoy นั้น ย่อมมีนัยยะที่อาจแสดงถึงการเติบโตทางธุรกิจที่กำลังจะเปลี่ยนไปมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตัวรายได้เองก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนถึงการเติบโตที่ิแท้จริงของธุรกิจล้วนๆ เพราะ รายได้เกิดจากราคาขายคูณด้วยจำนวนขาย ดังนั้นการที่บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นก็อาจเกิดจากการขึ้นราคาล้วนๆ แต่ปริมาณการขายไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยก็ได้ ดังนั้น เวลามองรายได้ ถ้าเราต้องการจะมองให้ลึกขึ้นกว่าปกติที่คนทั่วไปเขาดูแต่งบการเงินกัน เราน่าจะไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปด้วยว่า รายได้ที่เพิ่มขึ้นมานั้น เกิดจากราคากี่ส่วน และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นกี่ส่วน ปริมาณการขายนี่แหละที่แสดงถึง การเติบโตที่แท้จริงของธุรกิจ หรือเป็นตัวที่สะท้อนให้เห็นถึง Organic Growth ของบริษัทอย่างแท้จริง
เพื่อแสดงให้เห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผมได้ลองค้นหาอัตราการเติบโตที่แท้จริงของบาง บจ.มาให้ดูเป็นตัวอย่าง ในแง่หนึ่ง บริษัทที่มี Organic Growth ที่ดีนั้นก็เหมือนเป็นธุรกิจ Snowball เพราะตลาดหรือลูกค้ามีการเติบโตที่ดีขึ้นโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว แค่บริษัทอยู่เฉยๆ ไม่ต้องดิ้นรนทำอะไรใหม่ๆ ก็โตได้เพราะตลาดที่โตขึ้นเอง ถือเป็นสุดยอด Growth Stocks เลยทีเดียว เพราะโตได้แม้ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเลย
BGH – ปีที่แล้ว BGH มีรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลเติบโตถึง 50% yoy เลยทีเดียว แต่เราก็รู้ดีว่า การเติบโตนั้นเกิดจากการรวบงบการเงินกับกลุ่มพญาไทเป็นสำคัญ ดังนั้นถ้าเราอยากรู้ว่าธุรกิจโรงพยาบาลมีการเติบโตที่แท้จริงเป็นเท่าไร เราควรขุดไปดูรายได้ของโรงพยาบาลกรุงเทพเองว่าเติบโตเท่าไรโดยไม่รวมการเติบโตที่เกิดจากการเอางบพญาไทมารวม โชคดีที่บริษัทมีการเปิดเผยตัวเลขนี้ไว้ให้ในคำชี้แจงผลการดำเนินงาน ที่จริงแล้ว รายได้ของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพเองเติบโตในระดับแค่ 13% yoy เท่านั้น (แต่ก็ถือว่าเป็นระดับที่ใช้ได้แล้วสำหรับหุ้นเติบโตทั่วไป) บริษัทไม่ได้ระบุว่าตัวเลขนี้มาจากการปรับราคาเท่าไร แต่บอกว่าการเติบโตในส่วนนี้เกิดจากจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้น และการรับรักษาโรคที่มีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ
GC – บริษัทหนึ่งที่ตัวเลขรายได้ค่อนข้างจะหลอกตาคือ GC ปีที่แล้ว GC มีรายได้เติบโต 3% yoy แต่ถ้าเข้าไปดูให้ละเอียดแล้ว Sales Quantity เติบโตติดลบคือ -4% yoy แสดงว่าจริงๆ แล้วธุรกิจบริษัทไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่ที่รายได้เพิ่มขึ้นนั้นอาจเกิดจากเงินเฟ้อ ทำให้ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า และดูเหมือนรายได้ของ GC จะเติบโตสูงกว่า Sales Quantity สองเท่าแทบทุกปีในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เช่นนี้เราอาจมองว่าบริษัทนี้ยังอยู่ในช่วงที่หาช่องทางเติบโตธุรกิจไม่ได้ ทั้งที่รายได้เติบโตขึ้นก็ตาม
HMPRO – ตัวเลขที่น่าตรวจดูที่สุดของพวกธุรกิจค้าปลีกคือ Same Store Sales Growth (sss) ซึ่งหมายถึง ยอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยไม่นับการเปิดสาขาใหม่ ห้างค้าปลีกที่มีมาตรฐานสักหน่อยจะเปิดเผยตัวเลขนี้ให้กับนักลงทุนทราบทุกปี ปีที่แล้ว HMPRO มีรายได้โต 17% yoy แต่มี SSS growth เท่ากับ 6% yoy ซึ่งถือว่าชะลอลงจากปีก่อนๆ แต่ก็ยังนับว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตของบริษัทนี้ และยังสูงกว่าเงินเฟ้อ ยิ่ง sss โตดีเท่าไร ยิ่งแสดงว่าถ้าบริษัทเปิดสาขาเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะสาขาใหม่จะแย่งลูกค้าไปจากสาขาเก่า (Cannibalization) มีน้อยด้วย บริษัทจึงน่าจะยังมีช่องว่างในการขยายสาขาได้อยู่ (ส่วน CPALL นั้น ปีที่แล้ว sss อยู่ที่ 4.8% yoy ครับ)
[End]
แล้ว CPN ดูการเพิ่มของของรายได้ยังไง
ดูเฉพาะห้างเก่าๆหรือป่าว ไม่นับสาขาใหม่ คล้ายๆ วิธี SSS
แต่ว่าพื้นที่แต่ละห้างก็เท่าเดิม ค่าเช่าก็คงขึ้นไม่มาก ขึ้นแค่ค่าเงินเฟ้อ
กรณี cpn ควรดูการขยายสาขามากกว่าหรือป่าว
ปล. Link “คำชี้แจงผลการดำเนินงาน” ของ BGH ผิดครับ เป็นของ PB
ตัวเลขที่ชี้การเติบโตที่แท้จริงของ CPN อาจจะหาได้ยากหน่อย เช่น จำนวนคนเดินเข้าห้างต่อปี ซึ่งบริษัทอาจไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
ย้ายลิงค์ให้ตามนั้นครับ
สมาชิกใหม่ซิงๆๆนะ [email protected]
อ่านบทความนี้ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ดีครับ ขอบคุณ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ขอบคุณครับ ได้มุมมองใหม่ทุก ๆ ครั้ง ที่ได้อ่าน บทความของคุณนรินทร์
ขอบคุณมากครับ
ติดตามเสมอ
กำลังไล่อ่านบทความอยู่ครับ
สมัครสมาชิกได้เลยอ่านใหญ่เลยชอบหลายบทความ
อยากจะขอมุมมองเพิ่มถ้าเป็น BLA. เราควรจะมองที่รายได้จากอะไรเป็นหลัก
และผลกระทบที่จะทำรายได้ลดลงต้องมองที่จุดไหนบ้างครับ
ชอบมากๆเลยครับ อย่างนี้ผมขออนุญาติแนะนำต่อ ให้คนมาสมัครสมาชิกกันเยอะๆนะครับพี่ครับ ^^
ขอบคุณสำหรับข้อเขียนที่อ่านง่าย และมีประโยชน์มากๆครับ
bla ดู fyp คับ
แล้วอย่าง Groupon ละครับพี่โจ๊ค ?
groupon เป็นธุรกิจที่ว่ากันว่าโตเร็วสุดในโลก ในเชิงของรายได้ ในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากทำ IPO ราคาก็ลดมา50%แล้ว (IPO=$20) ที่เป็นปัจจัยลบคือ เค้าว่ามันเป็น Unsustainable Business Model และแม้รายได้โต แต่ว่ารายจ่่ายก็วิ่งกระจายเช่นกัน
อีกตัวที่เป็นธุรกิจใหม่แต่เป็น IPO ตกสวรรค์ก็คือ Zipcar ซึ่งทำธุรกิจ Car-Sharing
Groupon ไม่มี economy of scales นี่ครับ โปรโมชั่นของภัตตาคารส่วนใหญ่เป็น local ต้องบริษัทเหนื่อยเป็นเมืองๆ ไป เลยไม่รู้ว่าโตจนใหญ่ที่สุดแล้วจะได้เปรียบคนอื่นอย่างไร
gc เกี่ยวกับแผนเปลี่ยน product specialty ป่าวคับ
ชอบมาก ๆ เลยครับ