ข้อมูลจาก OPEC Oil Market Report 2011 ชี้ให้เห็นว่า หลังจากเกิดวิกฤตซับไพรม์ เศรษฐกิจโลกเติบโตในอัตราที่ช้าลงมาก จนทำให้ความต้องการใช้น้ำมันไม่ได้อยู่สูงกว่าอุปทานอีกต่อไป
โลกของเราช่วงในเวลานี้จึงไม่ได้อยู่ในภาวะอุปทานน้ำมันตึงตัวเหมือนที่ผ่านมา เราสามารถเพ่ิมกำลังการผลิตน้ำมันได้ทันต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทุกปี แม้ว่าอุปทานยังคงเพื่มขึ้นได้ช้ามากเหมือนเคย (กำลังการผลิตนอกกลุ่มโอเปกยังมีแนวโน้มลดลงทุกปี ส่วนที่เพิ่มขึ้นได้มาจากโอเปคเป็นหลัก) แต่ เพราะความต้องการใช้เพิ่มขึ้นช้าลงมากนั่นเอง
แต่การที่เราเห็นราคาน้ำมันแพงในเวลานี้ เป็นเพราะ ความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่า (เช่น กรณีอิหร่านในเวลานี้ แม้การ sanction จะยังไม่เริ่มจริงจนกว่าจะถึงกลางปีนี้ แต่ลูกค้าของอิหร่านก็เริ่มหาซัพพลายเออร์ใหม่ล่วงหน้ากันแล้ว) นอกจากนี้ผลของการพิมพ์เงินดอลล่าร์ก็มีส่วนทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้นเมื่อคิดเป็นดอลล่าร์ด้วย
ส่วนเหตุผลที่ทำให้น้ำมันแพงเพราะเกิดอุปทานตึงตัวแบบก่อนวิกฤตซับไพร์มนั้นยากที่จะเกิดขึ้นตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังไม่กลับมาเติบโตในอัตราเดิม (Full Production) กลุ่มโอเปคยังสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เสมอหากน้ำมันบางส่วนหายไปจากตลาดเพราะยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือของซาอุดิอารเบีย
ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันในระยะกลางคือ การที่สหรัฐฯ นำน้ำมันของตัวเองออกมาขาย เพื่อกดราคาน้ำมัน ทุกครั้งที่เห็นว่าราคาน้ำมันแพงเกินไป จนอาจส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เองได้ สหรัฐฯ ทำเช่นนี้หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา และทำให้ราคาน้ำมันจะถูก Capped ไว้ไม่ให้สูงเกินระดับหนึ่ง ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
นิตยสาร Economist มองว่าการใช้นํ้ามันที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มผู้ผลิตที่ Middle East โดยเฉพาะ Saudi Arabia อาจจะมีผลต่อสมการ demand and supply ครับ
http://www.economist.com/node/21551484
แบบนี้ ถ้าจะหวังกับหุ้นน้ำมัน อย่าง ปตท.สผ. คงต้องหวังไปที่กำลังการผลิตเป็นหลัก มากกว่าราคาน้ำมันใช่มั้ยครับพี่? เพราะราคาน้ำมันคงไม่ขึ้นมากตามดีมานด์-ซัพพลายที่บาลานซ์กัน
ขอบคุณครับ
@boy ประมาณนั้นครับ