Skip to content

237: ข้อคิดในตลาดกระทิง

ตลาดกระทิงในเวลานี้ให้ได้ข้อคิดอะไรได้หลายอย่าง…

ขณะนี้ มีนักลงทุนจำนวนมากมาบอกผมว่า ตอนนี้พวกเขามีเงินเหลืออยู่มากเกินไป และต้องการนำมาซื้อเก็บเป็นหุ้นให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง เมื่อปีที่แล้วตอนที่หุ้นถูกกว่านี้มาก มีแต่คนมาบอกว่าอยากขายออกบ้าง เพราะเห็นว่าหุ้นขึ้นมาเยอะแล้ว กลัวมันจะลง

หุ้นเป็นสินค้าที่ยิ่งแพงก็ยิ่งมีคนอยากซื้อ ถ้าเราได้ยินวลีนี้ในภาวะตลาดแบบปกติ เราคงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ หรือไม่เราก็อาจคิดว่า บางคนอาจเป็นอย่างนั้น แต่สำหรับตัวฉัน คงไม่เป็นแบบนั้นเด็ดขาด

แต่เมื่อตลาดหุ้นอยู่ในภาวะกระทิงและเราได้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์นี้ เราจะได้เห็นชัดว่าความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้ แม้แต่ตัวเราเองก็ยังรู้สึกไปด้วย นี่แหละมั้งที่เค้าบอกว่า บางอย่างในตลาดหุ้นก็สอนกันไม่ได้ ต้องรอเก็บประสบการณ์เอาเองเท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้ยังทำให้มองภาพออกเลยว่า ตลาดหุ้นทำงานอย่างไร ในช่วงที่ดัชนีหุ้นตกต่ำสุดขีดนั้น เงินส่วนใหญ่ของทุกคนจะฝากอยู่ในแบงก์อย่างปลอดภัย ยิ่งดัชนีหุ้นไต่ระดับสูงขึ้น เงินของทุกคนที่ฝากอยู่ในแบงก์ก็จะค่อยๆ ผ่องถ่ายออกมาเข้าตลาดหุ้นมากขึ้น เม็ดเงินที่เข้ามามากขึ้นนี่แหละที่ทำให้ดัชนีสูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วย และยิ่งดัชนีสูงขึ้นไปเท่าไร เงินของทุกคนก็จะไปพักอยู่ในตลาดหุ้นมากขึ้น (ทั้งที่ควรจะน้อยลง) จนถึงจุดสุดท้ายก่อนที่ฟองสบู่จะแตกซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไร เงินส่วนใหญ่ของทุกคนจะอยู่ในตลาดหุ้นหมดแล้ว แทบไม่มีใครเหลือเงินสดเลย

แม้แต่คนที่ใช้กลยุทธ์ DCA หลายคนก็หนีไม่พ้น ตอนแรกอาจเลือกใช้ DCA เพราะ ไม่รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่พอใช้ DCA แล้วกลายเป็นขาขึ้นตลอด เราจะคิดว่า “รู้งี้ไม่น่าใช้ DCA เลย น่าจะลงให้หมดตั้งแต่ต้น” ว่าแล้วเราก็เพิ่มน้ำหนักการลงทุนต่อเดือนให้มากขึ้น อีกเพื่อชดเชยกำไรที่ขาดหายไป ตอนแรกไม่รู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลง แต่พอเห็นหุ้นขึ้นกลับเปลี่ยนเป็นเก็งว่าหุ้นจะขึ้นต่อไปอีกแน่นอน สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเหมือนทุกคนอยู่ดี คือ ซื้อมากๆ ตอนที่แพง คนที่เป็นแบบนี้หากตอนแรกพวกเขาเริ่มต้นด้วยการซื้อตูมเดียว แล้วปรากฎว่าหลังจากนั้นแทนที่หุ้นจะขึ้นกลับลง พวกเขาจะคิดกลับกันว่า “รู้งี้ใช้ DCA ตั้งแต่แรกดีกว่า” หลักการของพวกเขาเพียงแต่เปลี่ยนกลับไปกลับมาตามด้านของเหรียญที่ทอยออกมาในแต่ละครั้งเท่านั้น

20 thoughts on “237: ข้อคิดในตลาดกระทิง”

  1. แล้วพี่โจ๊ก มีมุมมองอย่างไรสำหรับวิธีของ DCA งะครับผม

    1. เริ่มต้นเท่าไร ก็เท่าเดิมไปเรื่อยๆ ปรับขึ้นทีละนิดตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นของเราก็พอแล้ว

      ถ้าเห็นหุ้นขึ้น ก็เลยเพิ่ม กลายเป็น ยิ่งต้นทุนแพง ยิ่งมีเยอะ ถ้าเห็นหุ้นลงหนัก ก็เลิกซื้อ กลายเป็นตอนหุ้นถูก ดันไม่ได้ซื้อไว้เลย

  2. เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เพราะผมก็ยังพลาดโดนอารมณ์ตลาดครอบงำโดยยังหลอกตัวเองว่าฉันมีความคิดเป็นอิสระจากตลาดแล้ว

  3. ปัญหาคือไ่ม่มีใครรู้ว่า set จะไปสร้างยอดดอยตรงไหน เมื่อต้นปีแถว 1400 ก็ว่าสูงแล้ว (ท่านแม่ทัพยังร่ำๆว่าจะขายแถว 1500)
    ก็ทะลุต่อมา 1600 แบบสบายๆ แต่เรารู้ว่า set ยิ่งสูงเท่าไรก็ใกล้ยอดดอยยิ่งขึ้น
    อย่างนี้เราน่าจะพอดูจากยอดเงินออมในระบบธนาคารได้ว่าลดลงแค่ไหน เพราะตลาดหุ้นก็มีเงินต่างชาติเข้ามาด้วย

  4. มีข่าวดีมากมายกระตุ้นความโลภเทุกวันซึ้งต้องหักห้ามใจอย่างแรง

  5. ยอดเงินฝากอาจจะดูยากครับ เพราะเงินฝากออกจากธนาคารไปได้หลายที่ ตลาดพันธบัตรนี่ใหญ่กว่าหุ้นมาก

    อยากให้มีใครสรุปตัวเลขว่า Equity Fund ทั้งระบบตอนนี้ถือเงินสดกี่เปอร์เซ็นต์ หุ้นกี่เปอร์เซ็นต์

  6. ท่านแม่ทัพ… แล้วถ้าเราดูยอด Debt ของบริษัทจดทะเบียน Broker ทุกๆบริษัท พอจะ imply ยอด Margin ที่ปล่อยให้นักเก็งกำไร เอ๊ย! นักลงทุนได้ป่าวครับ ?

    Anyway, มันก็ track ได้แค่ 3 เดือนครั้ง อ่ะนะ

  7. ธนชาติงดให้กู้มารจิ้นตั้งแต่ 18 มีค เป็นตันไป

    1. ของBLSก็ไม่ให้ซื้อในมาร์จิ้นแล้วครับ
      ส่วนที่ซื้อไปแล้วยังไม่ต้องคืนนะครับเพี่ยงแต่ห้ามซื้อเพิ่มครับ

  8. เหอเหอ 4 วัน 100 กว่าจุด แต่ยังไม่ถึง 10% จาก New High

    บางทีคนเราบางคนก็กลัวตัวเลขปกติ มากกว่า % รึเปล่าครับ?

  9. ผมเคยได้อ่านมาว่า ปีเตอร์ลินซ์ ให้โฟกัสที่บริษัท โดยสนใจ Set index น้อยมาก ไม่ทราบว่ามีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ

    จะใช้กลยุทธนี้ได้ผลหรือป่าว

    1. ควรเป็นแบบนั้นครับ เพราะขนาดเมื่อวันศุกร์ว่าตกหนักๆ หุ้นธรรมดาบางตัว pe ยัง25-30อยู่เลย…จะแพงไปใหน

      ไม่นับหุ้นPE40 up แนวหุ้นเทินอะราว ทั้งนั้นอ่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *