Skip to content

257: Dekisugi.net Growth Investing (DG)

ขอเปิดคอลัมน์ใหม่ สำหรับการลงทุนแนว Long-term Growth Investing นะครับ

7thLTG นั้นเป็น Growth Investing แบบค่อนข้าง passive ส่วน แนวทางใหม่นี้จะเป็น Growth Investing เช่นเดียวกัน แต่เป็นแบบ ที่  active มากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาและสนุกกับตลาดหุ้นมากกว่า และเป็นแนวที่มองเรื่อง Valuation ประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย ไว้เป็นแนวการลงทุนทางเลือกอีกแนวทางหนึ่งนอกเหนือจาก 7thLTG

แนวทางใหม่นี้ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของ  ปีเตอร์ ลินซ์ เป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวที่ตรงกับใจผมเองมากที่สุด แต่ผมจะมีการออกแบบกฎเกณฑ์บางอย่างเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความชัดเจน และนำไปปฏิบัติจริงได้ง่าย มาลองดูกันว่า ถ้าหากเรานำคำสอนของปีเตอร์ ลินซ์ มาใช้กับตลาดหุ้นไทยจะเกิดผลอย่างไร

ผมจะใช้เวลาเขียนบทความเพิ่มเติมเพื่อขยายความและอธิบายหลักการและเหตุผลของกฎเกณฑ์ต่างๆ อีกสักพัก เมื่อสร้างกรอบที่ดีพอได้แล้ว ก็คิดว่าจะสร้างพอร์ตทดลองแบบเดียวกับ 7thLTG ขึ้นมาหลังจากนั้นด้วย

สำหรับกรอบการลงทุนแบบกว้างๆ จะเป็นดังนี้ครับ

Dekisugi.net Growth Investing(codename “DG”)

[list style=”2″ underline=”1″]

  • สนใจเฉพาะหุ้นของกิจการที่เชื่อว่า เป็นธุรกิจที่น่าจะทำรายได้ให้เติบโตอย่างน้อยปีละ 10% ได้ต่อเนื่องทุกปี โดยไม่ยากเย็นนัก และเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งระดับหนึ่ง
  • การเติบโตที่คาดการณ์ในอนาคตไม่ได้ตัดสินจากตัวเลขในปัจจุบัน แต่ดูว่าบริษัทมีวิธีการเพ่ิมรายได้ด้วยวิธีใดบ้างเป็นหลัก
  • ความมั่นคงแข็งแกร่งพิจารณาจาก บริษัทมีจุดเด่นอะไรบ้างเหนือคู่แข่ง และเป็นธุรกิจที่กำไรได้ง่ายแค่ไหน ในระดับหนึ่งหมายถึง บริษัทไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งก็ได้ แต่ต้องเก่งกว่าคู่แข่งขันโดยเฉลี่ย
  • หุ้นที่มีลักษณะข้างต้นจะอยู่ใน Wish List แต่จะซื้อก็ต่อเมื่อ ราคาหุ้นไม่แพงเท่านั้น โดยวัดจากอัตราการเติบโตที่เป็นไปได้ในระยะยาวของธุรกิจนั้นเป็นสำคัญ (P/S, P/E, PEG ประกอบกัน)
  • เวลาที่น่าจะพิจารณาซื้อหุ้นเพิ่มคือ เมื่อดัชนีตกลงมากเกิน 10% ของจุดสูงสุดล่าสุด แต่ถ้าในเวลานั้นก็ยังไม่มีหุ้นตัวไหนเลยใน watchlist ที่มีราคาที่น่าสนใจก็ไม่ซื้อ
  • ซื้อหุ้นแต่ละตัวด้วยเงิน 10-15% ของพอร์ตในครั้งเดียวไปเลย
  • เมื่อซื้อไปแล้วจะถือนโยบายพยายามถือให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
  • ในกรณีที่ซื้อไปแล้วหุ้นลง ห้ามซื้อเพิ่มจนกว่าจะลงเกิน 25% ถ้าหากลงเกินแล้วยังกล้าซื้ออยู่จึงค่อยซื้อเพิ่มได้ แต่ห้ามซื้อด้วยเงินที่มากกว่าจำนวนเงินก้อนแรกที่ซื้อไป และถ้าครบแล้วยังลงต่อต้องหยุดซื้อเพิ่ม
  • ไม่คาดหวังว่าหุ้นทุกตัวในพอร์ตจะต้องได้กำไรหมด หุ้นบางตัวจะขาดทุนไปบ้างก็ได้ ไม่มีใครคิดถูกตลอดเวลาไม่ต้องไปทำอะไรกันมัน มองผลตอบแทนรวมของพอร์ตเป็นหลัก
  • ขายหุ้นเมื่ิอเห็นว่าไม่เข้าข่ายหุ้นเติบโตในนิยามของเราอีกต่อไป หรือเมื่อพบตัวอื่นที่น่าสนใจกว่าแต่ไม่มีเงิน ไม่ขายหุ้นด้วยเหตุผลว่าหุ้นแพง เว้นแต่กรณีที่แพงแบบสุดขีด (เช่น P/E 50)
  • ไม่ล้างพอร์ตในกรณีที่ตลาด crash หรือคิดว่าจะ crash แต่จะปล่อยให้พอร์ตลงไปกับตลาด เพราะเชื่อว่าเมื่อทุกอย่างกลับมา พอร์ตจะกลับมาเป็นปกติได้ เพราะหุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตเป็นธุรกิจที่มั่นคงพอสมควร
  • หุ้นที่ซื้อเพิ่มอาจเป็นตัวเดิมก็ได้ หากหุ้นนั้นยังเข้าเกณฑ์และมีราคาที่น่าสนใจ (คิดเหมือนไม่เคยซื้อหุ้นตัวนั้นมาก่อน) แต่ไม่ให้มีหุ้นตัวใดมีขนาดเกิน 30% ของพอร์ต
  • อย่าคิดว่ารวยเมื่อไรจะล้างพอร์ตออกจากตลาด แต่ให้คิดว่าจะออมไว้ในตลาดหุ้นให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยังไงตลาดหุ้นก็เป็นที่ออมเงินระยะยาวที่ดีที่สุด หากจะล้างพอร์ตต้องเป็นกรณีที่ตลาดแพงอย่างสุดขีดเท่านั้น (เช่น P/E 30) ไม่ใช่เพราะเกร็งว่าจะมีวิกฤต หรือเพราะโดนวิกฤตแล้วทำให้อยากล้างพอร์ต

[/list]

(หมายเหตุ : ขอออกตัวล่วงหน้าว่าความเห็นใดๆ ของผมที่อยู่ในบทความหมวดนี้อาจแตกต่างจากในบทความอื่นๆ ก็ได้ เพราะความเห็นในหมวดนี้เป็นความเห็นที่ใช้กับแนวการลงทุนตามแนวปีเตอร์ลินซ์เท่านั้น ส่วนความเห็นในหมวดอื่นๆ เป็นความเห็นทั่วๆ ไปที่ไม่จำกัดสไตล์การลงทุน

52 thoughts on “257: Dekisugi.net Growth Investing (DG)”

  1. DSGT ครับ ผ้าอ้อมเด็ก market share เป็นอันดับ 2 ในไทยและมาเลเซีย ผ้าอ้อมผู้ใหญ่เป็นที่ 1 ทั้งในไทยและมาเลเซีย(ถ้าจำไม่ผิด) บริษัทเริ่มขยายไปอินโดซึ่งมีประชากรเยอะ คิดว่าบริษัทมีความสามารถที่จะเจาะตลาดนี้ได้ เพราะ product ของบริษัทเน้นเจาะตลาดกลาง-ล่าง ซึ่งระดับรายได้ของประชากรน่าจะเหมาะกับสินค้าของบริษัท และนอกจากนี้ก็ยังมีประเทศต่าง เช่น พม่า เวียดนาม กัมพูชา ที่บริษัทยังไม่ได้เข้าไปทำตลาด นอกจากนี้เนื่องจากสังคมสูงอายุ จึงทำให้ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ก็น่าจะโตได้เรื่อยๆ เช่นกันครับ จึงขอ add ไว้ใน watching list ครับ

  2. น่าสนใจดีครับ ถ้าน้ำหนัก 15% ต่อตัว ก็น่าจะซัก 5 ตัว เหลือเงินอีก 25% ไว้รอเก็บ ประมาณนั้นป่าวครับท่านแม่ทัพ

  3. กำลังอ่าน ลงทุนอย่างปีเตอร์ ลินซ์ อีกครั้งตามคำแนะนำ พี่โจ็ก ในบทความที่ผ่านมา

  4. ถ้าหุ้นถูกเต็มตลาดไปหมด ก็ตัวละ 15% เต็มพอร์ตไปเลย เท่ากับ 7 ตัว
    แต่ถ้าหาหุ้นถูกตามสเปคได้น้อยกว่านั้น เช่น หาได้แค่ 3 ตัว ก็ถือเงินอีก 55% ไว้ก่อน
    สรุปคือ เป็นปัจจัยที่ประกอบกันระหว่างการกระจายความเสี่ยงกับการวัดมูลค่าหุ้น

  5. ขอบคุณคุณนรินทร์มากเลยคะที่จัดทำหัวข้อนี้ เป็นประโยชน์กับนักเรียนใหม่มากคะ ขอติดตามด้วยคนคะ

  6. รู้สึกตื่นเต้นกับคอลัมน์นี้มาก ๆ ครับ

  7. น่าตื่นเต้นสำหรับพอร์ตแบบ active และคงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจ แต่ก็จะติดตามเพิ่มพูนความรู้ค่ะ

  8. เป็นอีกแนวทางหนึ่งทึ่มีกฏเกณฑ์ง่ายต่อการปฏิบัติ ที่เป็นขั้นเป็นตอนครับ

  9. ผมชื่นชอบแนวทางของปีเตอร์ ลินซ์เป็นทุนมากอยู่แล้วครับ แต่แนวทางที่activeและได้มาซึ่งผลตอบแทนที่สูงของลินซ์ก็แลกมาซื้อความขยันและเวลาในการเซาะหาบริษัทที่จะลงทุนโดยให้ความสำคุญกับการวิเคราะห์ด้านคุณภาพ ซึ่งผมก็พยายามศึกษาทำความเข้าใจในการวิเคราะห์ทั้งเศรษฐศาสตร์และธุรกิจอยู่ครับ แต่ผมสงสัย ถ้าผมเอาหลักในการวิเคราะห์ของฟิชเชอร์มาร่วมในแนวการเซาะหา มันจะกลายเป็นแนวpassive เหมือน 7thLTG หรือป่าวครับ(จริง ๆ ไม่ก็ไม่คิดว่า7thLTG มันจะpassive ซักเท่าไหร่นะครับ) และจริง ๆ ผมควรให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ธุรกิจรายบริษัทมากกว่าเศรษฐศาสตร์หรือป่าวครับ คุณนรินทร์พอจะแนะนำแนวทางได้ไหมครับ รู้สึกบริโภคข้อมูลแล้วตกผลึกได้ไม่หมด สับสนพอสมควรครับ ยังไม่รวมการวิเคราะห์ด้านราคานะครับ เพราะผมว่ามันเป็นศิลปะมากเกินไป ^ ^

  10. ที่ ปีเตอร์ ลินส์ บอกว่าการเรียนประวัติศาสตร์ และปรัชญา เป็นประโยชน์ต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
    พี่โจ๊กช่วยอธิบายด้วยครับ

  11. จะเริ่มเมื่อไหร่ครับ แล้วมีรายชื่อหุ้นคร่าวๆบ้างหรือยังครับจะได้ไปศึกษาต่อด้วยครับ

    ขอบคุณมากครับ

  12. ที่จริง 7thLTG ก็เรียกว่า passive ไม่ได้ เป็น active อย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ active ที่ค่อนข้าง passive

    ส่วน L2 ก็เป็น active โดยนิยามเช่นกัน แต่เป็น active ที่ active มากกว่า 7thLTG แต่ก็คงไม่ active มากเท่ากับความหมายของคนทั่วไป

    คงเขียนอีกหลายตอนเพื่อขยายความถึงวิธีการลงทุนให้รัดกุมขึ้น กว่าจะเริ่มพิจารณาตัวหุ้นก็คงอีกสัก 6 เดือนล่ะมั้ง

  13. ขอบคุณคร้าบพี่โจ๊กสำหรับแนวความคิดดีๆ แบบนี้ครับ

  14. ขอศึกษาด้วยคนครับ อยากเรียนรู้การวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวที่ถูกคัดเลือกเข้า L2 โดยละเอียดครับ ^^

  15. พอร์ท L2 หุ้นที่จะผ่านการคัดตัวน่าจะเป็น Growth กับ Turnaround(แบบที่ Peter Lynch พูดถึง) … แล้ว พวก Cyclical ที่เกี่ยวกับน้ำมัน ถ่านหิน ปิโตรเคมี จะพอมีสิทธิป่าวครับท่านแม่ทัพ ?

  16. 55 ในใจอยากจะชักชวนให้ลงทุนเฉพาะ growth กับ stalwarts เท่านั้น เพิกเฉย turnaround กับ cyclicals สำหรับพอร์ตนี้ไปเลย แม้ว่าลินซ์จะบอกว่า growth กับ turnaround น่าเล่นสุดก็ตาม

    stalwarts นั้น เล่นเป็นแนวหมุนไปหมุนมาก็ได้

  17. เอิ่ม… อย่างหุ้นน้ำมันรายใหญ่ และหุ้นถ่านหินรายใหญ่ของไทย จัดว่ามันเป็น stalwarts หรือ cyclical อ่ะครับ มันมีมุมที่กึ่งยิงกึ่งผ่านอยู่นะ ท่านแม่ทัพเห็นว่าประการใดครับ ?

  18. เห็นด้วยครับ ที่จะลงทุนใน growth, stalwarts ส่วน cyclicals ผมมองว่าก็น่าสนใจในกรณีที่มันเป็นธุรกิจที่รอบมัน3-5 ปีนะครับ เพราะมันก็ประเมินและวิเคราะห์ได้พอสมควร แต่turnaround ในตลาดทุนไทยด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของผม ผมสนใจเหมือนกันครับ แต่กลัวมากกว่าครับ 555 คิดว่าลงทุนแล้วไม่มีความสุขแน่ ๆ เลยไม่เอาดีกว่าครับ

    สรุป ผมอยากให้ลองพิจารณาcyclicals ไว้ในพอร์ทด้วยนะครับ เพราะผมมองหลายตัวมีความแข็งแกร่งสูงแต่แค่ยังไม่ใช่ขาขึ้นเท่านั้นเอง

  19. เดี๋ยวคิดว่าอาจจะมีการเปลี่ยนชื่อคอลัมน์นะครับ เพราะแนวการลงทุนมีปีเตอร์ ลินซ์ เป็นโครงก็จริงๆ แต่ว่าคงไม่ได้ทำตามปีเตอร์ ลินซ์เป๊ะทุกอย่างแบบเคร่งครัด การใช้ชื่อที่มีคำว่า ปีเตอร์ ลินซ์ ด้วยเลยอาจจะไม่เหมาะ

  20. ไม่ทราบว่ามีระยะเวลาลงทุนไหมครับ เช่นเหมือน 7thLTG 15 ปี

    แล้วเงินที่เหลือ ฝากเงินหรือซื้อ MMF ครับ ขอบคุณมากครับ

  21. โครงนี้จะเริ่มเมื่อไหร่ครับ หรือรอหุ้นที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวมาก่อน

  22. -ไม่เกิน30%ของport แล้วถ้าหุ้นมันวิ่งเกิน30%จะทำอย่างไรครับ
    -การเข้าซื้อครั้งแรก จัดเต็มเลย หรือ เท่าที่หาได้
    -โครงการนี้ คุณนริทร์ ลงเงินจริงหรือป่าวครับ
    -เราไม่กำหนดระยะเวลาเพื่อประเมิณผลหลอครับ
    -เวลาตลาดcrash ที่บอกว่าจะไม่ขาย แต่จะปล่อยลงไปกับตลาด สมมุติหุ้นในportลงไม่เท่ากัน จะมีการซื้อ-ขาย สลับตัวหุ้นในportไหมครับ

    1. ถ้าตัวไหนขึ้นไปจนสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากๆ เช่น 50% ของพอร์ต ถึงจะมีการขายออกบางส่วนด้วยเหตุผลเรื่องรักษาสัดส่วนในพอร์ตได้ แต่กรณีเช่นนี้น่าจะมีน้อยมาก เพราะเริ่มต้นที่ 15% ถ้าจะกลายเป็น 50% ของพอร์ตได้ก็ต้องขึ้นไป 666% โดยที่ตัวอื่นๆ ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ซึ่งน่าจะเกิดได้ยาก

      ซื้อครั้งแรกก็ 15-20% ถ้าจะซื้อเพิ่มอีกก็จะไม่เกินเงินก้อนแรกที่ซื้อไปเท่านั้น ห้ามมากกว่านี้

      เลี้ยงพอร์ตให้โตขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดเหมือนปลูกต้นมะขามครับ ผลตอบแทนผ่านไปปีที่ 3 เป็นต้นไปก็ควรจะอยู่ในระดับที่ชนะตลาด มิฉะนั้นวิธีการลงทุนคงมีปัญหา

      ตลาด crash แล้วหุ้นแต่ละตัวลงไปไม่ได้เท่ากัน จะไม่มีการขายตัวแพงไปเฉลี่ยตัวถูกใดๆ ทั้งสิ้น ผมมองว่านั่นเป็นการมองหุ้นว่าถูกหรือแพงจากราคาขึ้นหรือลงกี่ % เป็นกับดักอย่างหนึ่ง

  23. น่าสนใจมากครับ รออ่านวิธีการลงทุนและจะเตรียมเงินลงทุนไว้ครับ 1 ล้านบาท พอร์ตนี้จะเป็น companion ที่ดีกับ 7thLTG เยี่ยมๆครับ

  24. ตื่นเต้นน่าสนใจ อีก 6 เดือนดีคะจะหาปั๊มเงินเตรียมรวมขบวนกับท่านแม่สุมาอี้ด้วยคะ

  25. แนวคิด ลงทุนเน้น พฐ และถือยาวจน พฐ เปลี่ยนจริงๆถึงขาย แต่เติมรายละเอียดเข้ามาเพิ่อ จัดการความเสี่ยงของพอร์ตไปด้วย เป็นการทำ money management ไปในตัว มีเกณฑ์การซื้อขายที่ชัดเจนทำให้ช่วยป้องกัน การเอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวในการตัดสินใจ
    น่าสนใจมากครับ

  26. พี่นรินทร์ ไม่ทราบว่าตอนซื้อครั้งแรก คือต้องรอ SET -10% ก่อนแล้วค่อยซื้อหุ้น ตัวที่ผ่านเกณฑ์ ใช้เปล่าครับ

    หรือซื้อ หุ้นที่ผ่านเกณฑ์ เลย แล้วลงทุนครั้งต่อไป คือ ต้องรอ SET -10%

  27. ครั้งแรกไม่ต้องรอครับ ถ้าไม่มีตัวไหนผ่านเกณฑ์เรื่องราคาเลย ก็จะซื้อไม่ได้เอง

    ที่ตั้ง 10% ไว้ด้วย ก็เพราะอยากหาจุดที่จะกลับมาดูใหม่ให้ชัดขึ้น จะได้ไม่ต้องกลับมาดูบ่อยๆ จนเสียเวลากับมันมากเกินไป

  28. พอร์ตนี้ เริ่มต้นจะมีหุ้นประมาณสักกี่ตัว
    จะได้เตรียมเงิน 10-15%
    คิดว่าการเปิดพอร์ตครั้งแรก
    เราน่าจะมีเงินประมาณ200,000-300,000

    1. เท่าไรก็ได้ที่เราคิดว่าเราอยากจะลงทุนเงินจำนวนนี้ไปกับตลาดหุ้นครับ

      สมมติว่า คิดว่ามีเงิน X บาทที่เราเสี่ยงกับหุ้นได้ ไม่ว่าจะมีหุ้นให้ซื้อกี่ตัว เราก็ซื้อไปตัวละ 15% ของ X ครับ

  29. สนใจที่จะร่วมด้วย
    ต้องทำอย่างไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะ

  30. DG ผมแค่สาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างครับ ถ้าสนใจก็สามารถนำแนวคิดไปใช้กับพอร์ตตัวเองได้เลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *