สิ่งหนึ่งที่ตลาดหุ้นขัดใจนักลงทุนคือ เวลาหุ้นแพงส่วนใหญ่ก็มักจะแพงกันทั้งตลาด เวลาหุ้นถูกก็มักจะถูกทั้งตลาด
ถ้าหุ้นในตลาดถูกและแพงสลับกันอยู่ตลอดเวลา (หุ้นส่วนใหญ่ไม่ได้เคลื่อนไหวตามดัชนี) ก็คงเป็นเหมือนสวรรค์ของการลงทุน เพราะพอหุ้นตัวไหนแพงเกินไปในช่วงนี้ เราก็ขายออกไปก่อน แล้วไปซื้อตัวอื่นที่ถูกกว่าในเวลานั้นแทน แบบนี้เราย่อมมีโอกาสให้ลงทุนอยู่ตลอดเวลา ทำรอบได้เสมอ ไม่เคยต้องรีบร้อน เพราะไม่มีวันตกรถไฟ
แต่ตลาดหุ้นในชีวิตไม่ใจดีแบบนั้น
เวลาตกรถไฟเพราะตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปแรงมาก นักลงทุนก็มักจะ compensate ตัวเองด้วยการ หันไปซื้อหุ้นที่ยังเป็น laggard อยู่ หรือไม่ก็ซื้อหุ้นที่ยังมีพีอีต่ำกว่าตลาดอยู่ โดยอ้างว่า หุ้นเหล่านี้ยังไม่แพง ซึ่งก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ แต่บ่อยครั้ง ตลาดมักไม่ได้คิดแบบเดียวกับเราด้วย หุ้นที่ laggard กลับลงต่อไปอีก ในขณะที่ ตัวอื่นๆ แพงขึ้นแล้ว กลับแพงขึ้นไปอีก มิหน่ำซ้ำ พอเวลาตลาดหุ้น crash หุ้นพีอีต่ำหลายตัวกลับลงแรงคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ต่างจากหุ้นพีอีสูงเลย เป็นต้นว่า พวกพีอี 20 ลดเหลือ 15 ส่วนพวกพีอี 8 ก็ลดเหลือ 6 สรุปแล้ว ก็ขาดทุนเท่ากัน เหมือนตลาดจะสั่งสอนเราว่า หุ้นที่พีอีต่ำไม่ได้ถูกกว่าตลาด แต่มันต่ำด้วยเหตุผลของมันเอง
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่เวลาตลาดวิ่งไปแล้วทีไร นักลงทุนจึงค่อยอยากซื้อหุ้น และความอยากจะรุนแรงมากด้วย โทรศัพท์จำนวนมากจะโทรถามกูรูหุ้นว่า ยังซื้อตัวไหนได้อีก ตัวไหนอีกบ้างที่ยังไม่แพง ต้องการซื้อ เงินสดเหลือเยอะมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจสำหรับคนที่ต้องตอบคำถามเป็นอย่างยิ่ง เพราะตอนหุ้นราคาไม่แพงในระยะสั้น แนะนำอะไรก็ไม่ค่อยอยากซื้อกัน แต่พอหุ้นแพงมากในระยะสั้นแล้ว ค่อยมาบีบให้แนะนำให้ซื้อที่ราคาแพงๆ
ถ้าหากวิธีแก้ไขการตกรถไฟมีอยู่จริง เราก็คงไม่ต้องกลัวตกรถไฟ เพราะถ้าตลาดหุ้นวิ่งไปเมื่อไร ก็ค่อยเอาวิธีนั้นมาใช้แก้เกมทีหลังก็ได้ คนที่ซื้อทันก็ไม่ได้รางวัลอะไรเลย เพราะจริงๆ แล้ว มีวิธีแก้เกมอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ดูตลกอยู่ถ้าจะมีวิธีนั้นอยู่จริง
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้ผมฉุกคิดถึงความสำคัญของ น้ำหนักพอร์ต (vs. มูลค่าหุ้น) ขึ้นมา
สมมติว่า กระทาชายนายหนึ่งเริ่มต้นทุนที่ดัชนี 600 จุด ด้วยเงิน 1 ล้านบาท ถือหุ้นไปได้ 3 ปี ปรากฎว่าดัชนีทะยานไป 1000 จุด สมมติว่าเป็นระดับที่แพงมาก
อันที่จริงถ้ากระทาชายนายนั้นไม่ได้ล้างพอร์ตออกจากตลาด (เพราะเห็นว่าหุ้นราคาแพงเกินไปทั้งตลาดแล้ว) แต่เขายังพยายามหาหุ้นตัวที่ “ถูกกว่า” ตลาด เพื่อที่จะอยู่ในตลาดต่อไป โดยขายตัวที่คิดว่าแพงกว่าตลาดออกมา แล้วเอาเงินนั้นกลับเข้าไปซื้อตัวใหม่ที่เชื่อว่ายังถูกกว่าตลาดอยู่ ไม่ว่าด้วยเกณฑ์อะไรที่เขาเชื่อก็ตาม และไม่ว่าเกณฑ์นั้นจะเป็นเกณฑ์ที่ถูกหรือผิดก็ตามด้วย
ถ้าหากปรากฎว่าเขาคิดผิด ที่จริงแล้ว หุ้นแพงทั้งตลาดที่ 1000 จุดแล้ว และควรล้างพอร์ตมากกว่าที่จะเปลี่ยนตัวถูกเข้ามาแทนที่ตัวแพงไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นตลาดหุ้นก็เลย crash หนัก เพราะเกิด correction ใหญ่ ลงมาเหลือแค่ 700 จุด
จริงๆ แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะคิดผิด แต่โดยเฉลี่ย เขาก็ไม่น่าจะขาดทุน น่าจะยังมีกำไรอยู่ เพราะเริ่มต้นที่ 600 จุด ต่อให้ขายหุ้นตัวแพง ไปซื้อตัวแพงเหมือนกัน แล้วหุ้นกลับลงมาใหม่ทั้งตลาด “โดยเฉลี่ย” แล้วน่าจะค่าเท่ากัน ไม่ว่าจะถือตัวเดิมอยู่หรือว่าถือตัวใหม่ เพราะว่าเงินที่เอาไปซื้อตัวใหม่ก็คือกำไรของตัวเก่าวนๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ตราบใดที่ตลาดหุ้นไม่ได้ตกลงมาต่ำกว่าจุดเริ่มต้นแรกสุด และเขาไม่ได้เพิ่มเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าไประหว่างทาง ก็ไม่น่าจะขาดทุน
ทำให้ได้ข้อคิดว่า ในเวลาที่ตลาดหุ้นแพง คุณอาจะไม่จำเป็นต้องออกจากตลาดก็ได้ หากคุณซื้อหุ้นตัวใหม่ที่ราคาแพง แต่ใช้เงินก้อนเดิม ได้ใช้เงินก้อนใหม่ เป็นแค่การเอาทุนเดิมกับกำไรที่ได้มาซื้อวนไปวนมา คุณก็ยังไม่ขาดทุน
แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนั้นกัน ที่เจ๊งกันก็เพราะว่า ตอน 600 เริ่มที่ 1 ล้านบาท แต่พอระหว่างทางเห็นหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เลย อยากได้กำไรมากขึ้น เอาเงินใหม่ๆ มาใส่ลงไปเพิ่มอีกระหว่างทาง เช่น อาจจะใส่เพิ่มไปอีกถึง 3 ล้าน เอาตอนที่ดัชนี 100o จุด อันนี้พอหล่นลงมาเหลือ 700 จุด จะขาดทุน เพราะว่า ต้นทุน 600 มีแค่ 1 ล้าน แต่ต้นทุน 1000 มีมากถึง 3 ล้าน ทำให้ลงมาแค่ 700 ก็ขาดทุนแล้ว
ทองคำเป็นตัวอย่างที่ดี ตอนขาขึ้นจาก $700 มา $1900 ได้กำไรกันทุกคน แต่ตอนขาลง ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ซื้อเพิ่มจะไม่ขาดทุน แต่คนแบบนั้นไม่ค่อยมี ที่ขาดทุนกันเยอะ ก็เพราะว่า เห็นลงมาจาก $1900 ก็เลย เอาเงินใหม่เข้าไปซื้อเพิ่มมากกว่าเดิม ขาขึ้นขึ้นมาตั้งเยอะแต่กำไรนิดเดียว เพราะใช้เงินแค่นิดเดียว แต่ตอนขาลงขาดทุนหนักมาก เพราะซื้อด้วยเงินที่เยอะกว่ามาก ที่ราคาสูงลิบลิ่ว หักกลบกันแล้วยังไงก็ขาดทุน
ถึงเป็นเหตุว่าทำไมคนเล่นรอบถึงขาดทุนกันเยอะมาก ไม่ว่าหุ้นหรือทอง ทั้งที่ buy low sell high ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ
ก็เพราะมองแต่ต้นทุนเข้าซื้อ แต่ลืมคิดถึงเรื่องน้ำหนักพอร์ต (ที่แต่ละต้นทุน)
ตอน1000ก็หวังจะเห็น1500ป่าวครับ เลยต้องรีบเพิ่มเงิน อิอิ
ยอดเยี่ยมครับ ท่านแม่ทัพสุมา
การถือเงินสดไว้มากขึ้นๆโดยที่ตลาดยังคงภาวะ overbought ไปเรื่อยๆ มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจ Fundamentalist อย่างมาก ไม่รู้ว่าพวกอาจารย์ Buffet หรือ Munger ทนรอเป็นปีๆได้ยังไง สุดยอด
ได้ไอเดียมากครับเสี่ยโจ๊ก ขอบคุณครับ
@atip ผมว่าปรากฎการณ์ครั้งนี้ช่วยอธิบายเลยว่า การมีหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลามีข้อดีอย่างไร ผมเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องการมีหุ้นเต็มพอร์ต แต่ตอนนี้เริ่มคิดได้ว่า ถ้าตลาดหุ้นยังไม่แพง ควรพยายามหาหุ้นลงทุนให้เต็มพอร์ตไว้เสมอ จะขึ้นหรือลงไม่เป็นไร เวลาแพงๆ เราจะได้อยู่เฉยๆ ได้ และไม่ต้องเสี่ยงซื้อแพงด้วย
สำหรับนักลงทุนที่อาจจะทำงานประจำแล้วมีเงินเติมเข้ามาจากเงินเดือน ควรจะรับมือกับสถาณการณ์แบบนี้อย่างไรครับ ? ควรจะอยู่เฉย ๆ ในเวลาที่รู้สึกว่าหุ้นแพง ? หรืออาจจะเติมเงินเข้าไปเหมือนเดิม แต่อาจจะมีแผน cut loss ในกรณีที่รู้ตัวว่าหุ้นที่ซื้อไม่ได้ถูกมาก ?
ถ้าหุ้นแพง แล้วเรามีแต่เงินสด ไม่มีหุ้น ถ้าอยากซื้อหุ้นจริงๆ ก็อย่าไปยึดติดกับคำว่า ลงทุนระยะยาว มากนัก ถ้าซื้อแล้วหุ้นไปต่อ ก็ถือต่อไป แต่ถ้าไม่ไปต่อ จำเป็นต้อง คัดลอส ก็ต้องกล้าทำ เพราะว่าเราซื้อมาแพงครับ
ถ้าเราไม่สนใจเรื่อง timing market ใช้ DCA ไปเรื่อยๆ โดยน้ำหนักการซื้อ position size เท่าเดิมตลอด …พอได้มั้ยครับพี่?
เพราะ timing market เป็นเรื่องที่ยากมากๆ
การบังคับให้ลงด้วยน้ำหนักเท่าเดิมตลอดนี่แหละเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันปัญหานี้ได้
แล้วเงินใหม่ที่เพิ่มมาเรื่อยๆ จะรอเข้าตอนไหนล่ะคะ ตั้งแต่เริ่ม DCA มา 4-5 ปี ลงเงินเพิ่มตลอดทุกปี เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้ง 7thltg และกองทุนลงเพิ่มทุกปีค่ะ ช่วงปีแรกๆ ลงน้อย เพราะไม่มั่นใจ ปีหลังๆ เงินสดเหลือเยอะมาก ก็เลยต้องเพิ่มน้ำหนัก รอให้ตลาดลงก็ไม่รู้ว่าจะลงแรงเมื่อไหร่ แล้วแรงแค่ไหนถึงจะรู้ว่าแรงจริง มีคำแนะนำมั้ยคะ
ถ้าทยอยเพิ่มตามรายได้ที่เพิ่มในระยะยาว น้ำหนักก็คงจะไม่เปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันมาก
แต่ถ้าเห็นหุ้นขึ้นก็เลยเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น แบบนี้ก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งครับ
อยากแชร์ให้เพื่อนที่เล่นมาอ่านจัง โดนใจอย่างแรง หาเงินทุกเม็ดมาลงหุ้นหมด ทั้งขายเมมเบอร์กอล์ฟ เอาตังค์เก็บมาซื้อหุ้นหมดเลย
>,,<"" เคยเตือนว่าโลภไปเป่า มันบอกว่ายังไม่โลภที ยังไม่ขายคอนโดมาซื้อหุ้นเลย
แง่วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว