งานหลักของ Growth Investor คือ การประมาณการเติบโตของรายได้ในช่วง 3-5 ปี ข้างหน้า ให้สมเหตุสมผลมากที่สุด มาลองดูตัวอย่างว่าเราจะประมาณ Sales Growth ของ AIS อย่างไรดี
เรารู้กันอยู่แล้วว่า รายได้ในส่วน Voice ของ AIS นั้น ถึงจุดอิ่มตัวไปแล้ว เพราะโทรศัพท์มือถือในบ้านเรามี penetration rate สูงมาก (มีจำนวนเลขหมายมากกว่าจำนวนประชากรเสียอีก) และการโทรด้วยเสียงก็เป็นอะไรที่ทุกคนทำกันมานานแล้ว ไม่รู้จะทำให้เพิ่มขึ้นอีกได้อย่างไร มีแต่จะต้องถูกลงอีกด้วยซ้ำ เพราะเทคโนโลยีเก่า
ฉะนั้นการเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่ต้องมาจาก Data เป็นหลัก ซึ่งน่าจะเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ เพราะวิธีชีวิตแบบ Mobile/Social Network ที่กำลังเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนยุคนี้ ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มต้นประมาณรายได้ เราอาจจะแยกรายได้รวมออกเป็นสองส่วนที่ต่างคนต่างโต ได้แก่ Voice กับ Non-Voice ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 66:33
ให้ Voice เติบโตเป็น 0 ไปอีก 3 ปี ในขณะที่ Non-Voice นั้น ปัจจุบันเติบโตในอัตรา 30% ต่อปี ซึ่งผมมองว่าน่าจะเป็น minimum base สำหรับอีก 3 ปี ข้างหน้าได้ จะได้ภาพของการเติบโตรายได้ในห้าปีข้างหน้าของ AIS เป็นดังนี้
Segment | ปี่ที่ 0 | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 |
Voice | 0.66 | 0.66 | 0.66 | 0.66 |
Non-Voice | 0.33 | 0.43 | 0.56 | 0.73 |
ในปีที่ 3 จะได้รายได้รวม 0.66+0.73 = 1.39 เท่า ของปีปัจจุบัน นั่นก็คือ เราประมาณว่า ADVANC น่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นได้ราว 40% ภายในสามปี หรือคิดเป็นต่อปี เท่ากับ 12% ต่อปี
เราอาจตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่าสมมติฐานของเราไม่ได้ aggressive เกินไป ด้วยการเทียบกับสัดส่วนรายได้ของผู้ให้บริการในประเทศที่พัฒนาแล้ว เท่าที่ทราบคือเขาจะมีสัดส่วนรายได้ Date กับ Voice เท่าๆ กัน 50:50 ในเมื่อปีที่สามเราประเมินว่าสัดส่วนนี้ของ AIS จะเป็น 0.66:0.73 ก็ถือได้ว่า ไม่ได้หลุดจากประเทศอื่นมากนัก คงไม่ใช่สมมติฐานที่เว่อเกินไป
แถมท้ายให้อีกนิดครับ บางคนอาจจะวิตกว่าค่าเสื่อมของอุปกรณ์ 3G ใหม่ที่ติดตั้งจะทำให้ค่าเสี่อมเพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญ แล้วทำให้รายได้เพิ่ม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากกว่า กลายเป็นกำไรลดรึเปล่า เกี่ยวกับเรื่องนี้ AIS ได้ประเมินค่าเสื่อมในอนาคตให้ดูแล้ว พบว่า ค่าเสื่อมที่เพิ่มขึ้นจะชดเชยกับค่าเสื่อมของอุปกรณ์ 2G ที่กำลังจะหมดระยะเวลาตัดค่าเสื่อมลงเรื่อยๆ พอดี ทำให้ค่าเสื่อมของ AIS จะเพิ่มขึ้นแต่น้อยมาก ในอีก 5 ปีข้างหน้าครับ
หลังจากได้ไลเซนส์ 2100Mhz มาเปิดใช้ และระบบการประมูลที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ล้ม ความเสี่ยงด้านนโยบายจากทางรัฐก็น้อยลงมากแล้วใช่ไม๊ครับพี่โจ๊ก
ขอบคุณมากครับพี่โดนใจผมมาก อยากสอบถามพี่โจ๊กอีกนิดว่า ในเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ในสัญญาใหม่ จะทำให้อัตรา Margin สำหรับทำการคำนวนกำไรตามที่พี่เคยแนะนำไว้ เปลี่ยนไปอย่างไร มากน้อยแค่ไหน (หรือถ้าหากพี่ตั้งใจจะเขียนเป็นตอนต่อไป ก็จะรอตามอ่านครับ) – ขอบคุณครับ
มาร์จิ้นผมเชื่อว่าน่าจะสูงขึ้นครับ แต่ว่าหาอะไรเป็นตัว base ไม่ได้ ว่าจะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ก็เลยคิดซะว่าคงเดิม แล้วมองเป็น minimum case ก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ บทความนี้ก็โดนใจผมเช่นกัน เพระพอร์ต 7 ผมก็มี advanc รวมอยู่ด้วย เพราะมองว่า พฤติกรรการใช้ชีวิตของผู้คนน่าจะทำให้ส่วนของ data service เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนี้ไปครับ
ขอเรียนเสริมท่านแม่ทัพดังนี้ครับ
1. Data โตขึ้นแน่ๆ แต่รายได้จาก Traditional Services อย่าง Voice, SMS, MMS, IDD บางตัวอาจจะคงที่ บางตัวลดลงแน่ๆ
2. Cost of Service ตัวหลักๆคือ Concession Fee (25%) หรือรายจ่ายสัมปทาน จะลดลงอย่างมาก เพราะ ADVANC จะเร่งโอนย้ายลูกค้ามาที่ระบบใหม่ที่มีรายจ่าย(ของใหม่เรียก License Fee) ต่ำลงมาก เหลือเพียง 5.25%
3. รายจ่ายอย่างค่า Domestic Roaming และ ค่าเช่าโครงสร้างพื้นฐาน จะโผล่ขึ้นมา แต่คาดว่าไม่มีทางแพงไปกว่าต้นทุนสัมปทานเดิม
4. Gross Profit สูงขึ้นแน่ๆ ตามอัตราเร่งของการขยายโครงข่าย 2.1GHz และโอนย้ายลูกค้า
และผมก็คิดว่าถ้่าลูกค้าโอนมาใช้เครือข่าย 2.1 Ghz มากขึ้นเรื่อยๆ cost ก็น่าจะถูกลงเรื่อยๆ
รายได้ต่อปีประมาณ 150000 ล้านบาท กำไร 25% คูณด้วยการเติบโต12% maketcap ควรเท่ากับ 450000 คิดจากวิธี dg แต่ตอนนี้ในตลาดจิงmaketcap 784000 ล้านบาท แสดงว่าราคาปัจจุบันแพงไปใช่มั้ย ครับ
ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ
ขอบคุณครับ
ถ้าคิดว่ามาร์จิ้นจะไม่เพิ่มขึ้นเลยก็แพงครับ ขึ้นอยู่กับสมมติฐาน
ขอบคุณมากค่ะพี่โจ๊ก เห็นไอเดียการประเมิน growth ชัดเจนมากเลยค่ะ
แต่ว่า…เวลาเราประเมินvaluation ออกมาเป็นราคาที่เหมาะสมนี่ต้องคำนวณอย่างไรหรอคะ
ถ้าสมมติใช้ค่า PEG ไม่ควรเกิน 1 เท่า (ตามที่ peter lynch แนะนำ) advance เราประเมินไว้ว่ามี Growth ที่ 12 % ต่อปี แปลว่าค่า PE ที่เหมาะสมคือ 12 เท่า
กำไรปี 55 = 11.73 แปลว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเท่ากับ 11.73*12 = 140.76 บาท
ตอนนี้ราคาหุ้นเท่ากับ 254 บาท แปลว่าตอนนี้ overvalued ไปมากใช่มั้ยคะ
ไม่แน่ใจว่าหนูคำนวณผิด หรือคิดไม่รอบด้านอะไรหรือเปล่า อยากขอคำแนะนำพี่โจ๊กหน่อยค่ะ
ก็ไม่ผิดครับ แตขึ้นกับสมมติฐาน
เพราะว่าบางคนอาจจะมองว่า รายได้เติบโต 12% ก็จริง แต่มาร์จิ้นน่าจะมากกว่าในอดีตแน่นอน เพราะค่าสัมปทานลดลงเยอะ รวมทั้งการที่เราอาจจะต้องรวม growth ของปี 56 ไปเลย เพราะเห็นอยู่แล้ว เป็นต้น
อ๋อ…ขอบคุณมากค่ะ ^__^
แอบถามท่านแม่ทัพหน่อยครับว่า ประมาณการที่ได้จากทางบริษัท เอามาจากไหนเหรอครับ
ขอบคุณครับ
อันนี้ครับ Presentation
ขอบคุณครับพี่ : )
การที่ กสทช บังคับว่าต้องลดราคาลง15%นี่ต้องนำมาคิดในการเติบโตของรายได้ไหมครับ
พี่โจ้กมองว่า ตัวนี้ พอจะเป็น growth stock หรือเข้าหมวด DG ได้ไหมครับ
ขอบคุณครับ
ก็ถ้าตามนิยามของผมคือ รายได้รวมต้องโตได้ 10% ต่อจากนี้หลายๆ ปี ถ้าหาก ADVANC น่าจะทำได้ ก็เข้าข่ายครับ
กรณีคนเปลี่ยนเครือข่ายด้วยสาเหตุทางการเมืองคุณโจ๊กมีความเห็นอย่างไรครับ
ส่วนตัวผมมองว่าเลวร้ายมากสำหรับ advanc เลยเพราะลูกค้าที่มาย้ายเครือข่ายส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพที่ค่ามือถือ/คน/เดือน อยู่แถว 4-500 บาท (จากการสังเกตคนรอบข้าง)
ซึ่งมากกว่า ARPU ของ AIS ทั้งนั้นเลย (226 บาท @Q4/56)
นั่นหมายความว่า AIS จะเสียทั้งจำนวนลูกค้า และ ARPU ก็จะลดลงอีกด้วย
และที่สำคัญสัญญาณมือถือเป็น perfect subtitude good ที่มี switching cost ถึงจะต่ำมากก็เถอะ (เวลากรอกเอกสาร,เวลาเดินทาง) ทำให้ ลูกค้าที่ย้ายออกไม่้น่าจะย้ายกลับมาถึงแม้การเมืองจะสงบแล้วก็ตาม
อาจจะต้องรอซักเดือนนึงแล้วมาดูตัวเลขสุทธิอีกทีว่าย้ายออกไปเท่าไหร่แล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะต้อง take action อะไีรมั้ย T_T
อยากฟัีงความเห็นคุณโจ๊กครับ
เท่าที่ทราบมีคนมาย้ายแค่วันละ 1400 คน ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับฐานลูกค้า 20 ล้านราย
ตัวเลขล่าสุดวันนี้ครับ
http://www.blognone.com/node/53705
5555
ขอบคุณมากครับที่เตือนสติ เกือบเทคแอคชั่นโง่ ๆ ไปซะแล้ว แฮ่ ๆ