วิธีลงทุนสำหรับบุคคลทั่วไปที่ผมแนะนำมากที่สุดน่าจะเป็นการเปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นเอง แล้วลงทุนกับหุ้น 5-7 ตัว โดยมีระยะการลงทุนประมาณ 2-5 ปี ต่อตัว
แต่สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเลยจริงๆ หรือไม่รู้สึกสนุกกับการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียนเลย กองทุนรวมหุ้นอาจเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่ผมแนะนำ
ถ้าใครติดตามงานเขียนของผมอยู่บ่อยๆ จะทราบดีว่า ผมเชียร์ให้ซื้อกองทุนดัชนีมากกว่ากองทุนรวมแบบมีการบริหารจัดการ (active funds) เหตุผลก็คือ มีการพิสูจน์กันมาแล้วว่า active funds ที่ชนะ index funds ในระยะยาวๆ ได้นั้นมีค่อนข้างน้อย (คำว่ายาวในที่นี้หมายถึงผลตอบแทนสะสม 5 ปีขึ้นไป) ดังนั้นแทนที่จะเราจะต้องเหนื่อยด้วยการมานั่งเลือกว่า active funds ไหนจะชนะ index funds ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หาข้อมูลได้ง่ายๆ การซื้อ index funds ไปเลยจะดีกว่า เพราะเรารู้แน่ๆ อยู่แล้วว่า มันจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า active funds ส่วนใหญ่ในระยะยาวอย่างแน่นอน
วิธีเลือก index funds นั้น ให้ดูค่าบริหารจัดการรวมรายปีเป็นสำคัญ ยิ่งต่ำยิ่งดี เว้นเสียแต่ว่ากองทุนดัชนีของ บลจ.ไหนจะให้ประโยชน์อย่างอื่นกับคุณมากกว่า อย่างเช่น หน้าจอใช้ง่ายกว่า เบิกถอนง่ายกว่าเพราะอยู่ใกล้บ้าน ฯลฯ ก็อาจเป็นเหตุผลให้ตัดสินใจได้
แต่ถ้าใครอยากซื้อ active funds จริงๆ ผมก็ไม่ถึงกับไม่แนะนำ เทคนิคในการเลือกซื้อ active funds คือ ให้ดูผลตอบแทนในอดีต (แม้เขาจะโฆษณาว่าดูไม่ได้ แต่ผมว่าดูได้เหมือนกัน แต่ต้องมีวิธีดู) คือ อย่าเลือกกองทุนที่เพิ่งให้ผลตอบแทนดีเมื่อเร็วๆ นี้ หรือให้ผลตอบแทนดีในปีล่าสุด แต่ให้เลือกตัวที่มีผลตอบแทนรายปีย้อนหลังค่อนข้างดีติดต่อกันหลายปี ไม่จำเป็นต้องเลือกกองที่ทำผลตอบแทนได้เป็นอันดับที่ 1 หรือ 2 ของอุตสาหกรรม เพราะสถิติพบว่า กองทุนที่ได้ที่ 1 มักจะทำผลงานได้ไม่ดีในปีถัดไป อยู่เสมอ แต่ให้เลือกกองทุนที่ทำผลงานได้ใน 20% แรกของอุตสาหกรรมแทบทุกปี พวกได้เกรด 4 คาบเส้นทุกปี แต่ไม่เคยได้เหรียญทอง ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้มักมองระยะยาว และไม่ทำอะไรที่เสี่ยงสูงๆ เพื่อหวังจะ “ฟลุ้ค” ทำผลงานได้เป็นที่หนึ่ง
ถ้าหากมีกองทุนสองกองทุนที่เหมือนกันทุกอย่าง แต่อันแรกเป็นกองทุนรวมหุ้นธรรมดา อีกอันเป็นแบบ LTF ก็ควรซื้อ LTF มากกว่า เพราะเราได้แต้มต่อจากการลดภาษีด้วย ถือเป็นสิ่งที่เราได้ฟรีๆ เข้ากระเป๋ามาก่อนเลย จึงเป็นสิทธิประโยชน์ที่ควรจะคว้าไว้เสมอถ้ามีโอกาส
เวลาซื้อกองทุนอย่าพยายามเทรดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรดระยะสั้น เพราะหลายกองทุนมีค่า front-end หรือ back-end fee ที่สูงมาก ถ้าเราได้กำไรแค่ 1-2% แต่มาโดนค่า front/back-end fee เวลาซื้อขายเยอะๆ เพราะเทรดบ่อย จะไม่คุ้มค่า ถ้าอยาก take profit กองทุนรวมหุ้นจริงๆ ให้หวังกำไรเกิน 10% ขึ้นไป
สถิติพบว่า คนที่ซื้อกองทุนรวมมักทำผลตอบแทนประจำปีได้น้อยกว่ากองทุนรวมที่ตัวเองซื้อ เหตุเพราะนักลงทุนมักอยากซื้อกองทุนตอนที่กองทุนนั้นวิ่งขึ้นมาเยอะๆ เพราะเห็นว่าให้ผลตอบแทนดี นักลงทุนจึงมักได้ต้นทุนที่แพง มิหน่ำซ้ำ เมื่อมีเม็ดเงินใหม่เข้ามามาก ก็บีบให้ผู้จัดการกองทุนนั้นจำเป็นต้องซื้อหุ้นตอนที่ตลาดหุ้นแพง ทำให้ผลตอบแทนหลังจากนั้นไม่ค่อยดี การ timing จึงเป็นกับดักที่สำคัญอย่างหนึ่งของผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวม
วิธีซื้อกองทุนรวมที่ดีกว่าคือ การทะยอยซื้อสะสม คือ คิดว่าเราจะสะสมหุ้นผ่านกองทุนรวมเพิ่มไปเรื่อยๆ ช่วงไหนตลาดหุ้นถูกมากๆ ก็ซื้อเพิ่มเข้าไปอีก ถ้าอยากทำกำไรบ้างก็ให้รอให้ได้กำไรเยอะๆ หน่อยแล้ว take profit แค่ส่วนเล็กๆ ก็พอ การขึ้นๆลงๆของกองทุนรวมหุ้นในแต่ละวันนั้นไม่ได้มากนักเมื่อวัดเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ใช่เครื่องมือในการเทรดหรือทำกำไรระยะสั้น ๆ ที่ดีครับ
พี่โจ๊กครับในส่วนของ Provident Fund ที่เป็น Employee Choice ถ้าเราลงเฉพาะพวก money market หรือ พวกตราสารหนี้ระยะส้น น่าจะดีกว่าแบ่งครึ่งหนึ่งไปกองทุนหุ้นมั๊ยครับ ถ้ากองทุนหุ้นที่สามารถลงได้ไม่ใช่ index fund
ซึ่งส่วนตัวผมลง index fund LTF-RMF อยู่แล้ว?
Regard.
ถ้าเป็น provident fund ที่ให้เราเลือกได้ด้วยว่าจะลงหุ้นน้อยหุ้นมาก ก็แล้วแต่เราครับ ถ้าเราไม่ชอบ active fund ก็คงเลือกไม่ได้ ก็อาจจะลงทุนในหุ้นน้อยหน่อย แต่ก็แน่นอนว่า ในระยะยาวหุ้นน่าจะดีกว่าเงินสด ดังนั้น ถ้าหากที่ผ่านมากองหุ้นของเขาทำผลงานได้ดี ก็ลงทุนหุ้นไปก็ได้ครับ
ขอสอบถามเกี่ยวกับ index fund กับ tdex มีอะไรที่แตกต่างกัน และอันไหนน่าสนใจกว่ากันครับ
TDEX ก็เป็น index fund ตัวหนึ่งครับ แต่เป็นแบบ ETF ด้วย คือ บลจ.เอาไปจดทะเบียนในตลาด ทำให้ซ์้อขายระหว่างวันได้ด้วย
เห็นด้วยครับว่าถ้าเราเลือกหุ้นเองได้ เเละชอบศึกษาบริษัทเราน่าจะได้ผลตอบเเทนดีกว่ากองทุนรวมหุ้น.
เราสามารถ track history perf จาก morningstart.com ได้ครับ เเล้ว
sorting ตาม yield ได้เลย…
เท่าที่ผมดู พวก growth fund ของ บลจ. ต่างๆก็ทำ yield ในอดีตชนะ index fund ด้วยครับ (TMBSET50)…เช่น ABG, ABLTF เป็นต้นครับ.
ขอปรึกษาคุณนรินทร์เกี่ยวกับการลงทุนด้วยการออมของผมครับ
ผมเป็นมือใหม่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ จึงคิดลงทุนแบบปลอดภัยดังนี้ครับ
ผมได้เริ่มซื้อกองทุนรวมหุ้นปันผล ของ 2 บลจ. โดยวางแผนว่าจะทะยอยซื้อเดือนละ 2,000/กอง รวม 4,000 /เดือน โดยทำควบคู่ไปกับการซื้อหุ้น 3 ตัวทุกเดือน ได้แก่ BTS , ADVANC , BGH ตัวละ 1,000 รวม 3,000/เดือน
อยากปรึกษาว่าแนวทางข้างต้นควรต้องปรับอะไรบ้างหรือไม่ครับ ผมมาถูกทางหรือไม่ ขอคำชี้แนะด้วยครับ
ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
ดูก็โอเคครับ พยายามทำติดต่อกันให้ได้ยาวๆ อย่าหวั่นไหวกับความผันผวนของตลาด
หุ้น 3 ตัว เราซื้อหุ้นชั้นดี อาจจะแพงหน่อยแต่เราก็ซื้อแบบ DCA และยังมีกองทุนอีกสองกองที่เน้นหุ้นปันผลเป็นตัว hedge ด้วย ก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีความระมัดระวังพอสมควรน่าจะปฏิบัติได้ครับ
ถามคุณนรินทร์นะครับ (เกียวกับกองทุนหุ้นครับ)
1.ผมเคยศึกษามาครับว่าวิธี VA (Value averaging) จะมี ปสภ. มากกว่า
วิธี DCA อ่ะครับ…ถ้ามีเวลาคุณนรินทร์อาจจะลองเขียนเเนะนำดูก็ดีครับ.
2.เหมือนว่า ถ้าดูๆเเล้ว DCA น่าจะเหมาะกับตลาดขาขึ้นไม้ครับ? ถ้าตลาดขาลงเเล้วเรา DCA คิดว่าน่าจะขาดทุนอ่ะครับ…
เเต่เราก็ไม่ควรจับจังหวะตลาดเพราะยากมากในการจับจังหวะเเละน่าจะมีผลเสียมากกว่าได้.
ดังนั้น DCA น่าจะเป็นวิธีที่ optimal ที่สุด….ใช่ไม้ครับ?
VA ก็มีข้อดีตรงที่ ถ้าหากตลาดปรับตัวลงแรงๆ เราก็เก็บกำไรไว้ได้ส่วนหนึ่ง ช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ แต่การ implement VA แบบอัตโนมัตินั้นคงจะยุ่งยากทีเดียว
ถ้าตลาดเป็นขาลง DCA ก็ยิ่งดีนะครับ เพราะว่าเก็บหุ้นราคาต่ำได้จำนวนมากขึ้น แต่มีข้อแม้ว่า สุดท้ายแล้วตลาดหุ้นต้องกลับมาได้ เมื่อกลับมาแล้วกำไรจะเยอะกว่าในกรณีที่่ตลาดไม่เคยลงเลย เพราะมีช่วงเวลาที่ได้เก็บต้นทุนต่ำๆ ยาวกว่า ดังนั้น DCA ต้องลงทุนนานๆ เช่น เป็นการออมเพื่อเกษียณ เป็นต้น
อ๋อ….ครับ ก็เห็นด้วยครับ…..salary man
ควรจะลงทุน DCA ใน LTF, RMF เเละไม่ควรจะถอนออกมาใช้เลย ปล่อยให้ทบต้นอยู่ในนั้น ให้มันทำงานหนักๆหน่อย
ค่อยถอนตอน retire ทีเดียว
***ส่วนตัวผมเลือกลง LTF ที่ไม่มีปันผลครับเพราะคิดว่า Fund manager น่าจะนำ retain earning ไปลงทุนต่อซึ่ง(น่า)จะทำให้ NAV โตต่อไปเรื่อยๆค่อย switch มาเเบบปันผลตอนใกล้ retire ครับ…เเละไม่อยากจ่าย 10% tax ด้วยครับ…
***สำหรับ LTF, RMF ผมคิดว่า salary man น่าจะลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นมากๆ ครับโดยเฉพาะท่านที่ยังเหลือเวลาอีก 20-30 ปีจะ retire เพราะในระยะยาวเเล้ว กองทุนหุ้นน่าจะทำผลตอบเเทนได้สูงกว่าเเบบอื่นๆครับ….(ห้ามถอนออกมา….มีเเต่ใส่เข้าไป)..
เเบบที่ K.Narin เเนะนำอ่ะครับ..
อยากถามความเห็นคุณNarin เรืองIndex fundตามนี้ครับ
1.เราควรเลือกแบบที่จ่ายปันผลหรือไม่จ่ายดีครับ
2.ควรใช้กลยุทธแบบไหนในการลงทุนที่เหมาะกับระยะยาวมากที่สุดในความเห็นคุณNarin
เช่น DCA หรือซื้อเวลาตกมากๆ
3. ซื้อควรที่จะต้องขายบางส่วนเพราะlock profitเวลาขึ้นมากๆไหม หรือทยอยสะสมไปเรื่อยๆเหมือน7thLTG
ถามหลายข้อเลย คืออยากจะขอคำแนะนำหน่อยครับ ก่อนที่จะเริ่มลงทุนควบไปพร้อมๆกันกับ7thLTG
ถ้าตั้งใจจะเก็บยาวมากๆ แบบไม่ปันผลดีกว่า
ผมแนะนำซื้อแบบ DCA มากกว่า เพราะรอตกแรงๆ แล้วซื้อบางทีเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาวัดว่าอันนี้ตกแรงหรือไม่แรง
ถ้าอยากผสมทั้งสองวิธีก็ทำได้ คือ ปกติก็ซื้อ DCA ไปเรื่อยๆ แต่ช่วยไหนตกหนักมาก ก็ซื้อเพิ่มไป แต่ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ให้แน่นอน มิฉะนั้นจะมั่วไปหมดครับ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ตลาดหุ้นแพงตลอดเวลา ผมจึงแนะนำให้ซื้อ DCA เป็นหลักมากกว่า ส่วนการซื้อลงทุนเป็นก้อนใหญ่ๆ นั้น ควรทำเมื่อ market correction ที่สำคัญจริงๆ เท่านั้นก็พอ น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับภาวะปัจจุบัน
รับทราบครับคุณNarin ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ
ถามพี่โจ๊ก ว่า ผลตอบแทนกองทุน ดูจาก Morningstar เช่น 20% ตัวเลขนี้หักค่าบริหารจัดการหรือยังครับ
ถ้าหากคำนวณมาจาก NAV คือ after management fee แล้วครับ