เวลาเราเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ๆ เรามักจะยังมีความชินแบบเดิมๆ อยู่ หนึ่งในความเคยชินที่ว่าก็คือ เวลาเราจะเลือกหรือตัดสินใจอะไรนั้น เราต้องการทางเลือกที่แน่นอนที่สุด หรือ ชัวร์ 100% นั่นเอง
ข้อสอบแบบปรนัย เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ปลูกฝังในเราคิดแบบนั้น ถ้าเราทำข้อสอบปรนัยมาตลอดชีวิต เราจะเคยชินกับความคิดที่ว่า คำตอบถูกมีแค่คำตอบเดียว เช่น ถ้าคำตอบถูกคือข้อ ข. คุณได้ 1 คะแนนเต็ม แต่ถ้าคุณตอบข้ออื่นๆ คุณจะได้ 0 หรือไม่ได้คะแนนเลย
เรื่องบางเรื่องอาจเหมาะที่จะเป็นแบบนั้นจริงๆ เช่น ถ้าจะสร้างสะพาน จะคำนวณว่าจะต้องตอบเสาเข็มกี่ต้น อะไรแบบนี้ คำตอบควรจะเป็นอะไรที่ exact แต่เรื่องอีกหลายเรื่องในชีวิตจริง เป็นเรื่องที่ คำตอบถูกไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว แต่อาจมีแค่คำตอบที่ถูกมากไปจนถึงถูกน้อยเรียงกันไปเป็น spectrum ตัวอย่างเช่น วิชาการตลาด ถ้าให้นักเรียนคิดแผนการตลาดให้ธุรกิจหนึ่งๆ คำตอบอาจมีได้มากมาย บางคำตอบมีเหตุมีผลฟังดูเข้าท่ามากกว่าบางคำตอบ แต่ไม่มีคำตอบไหนเป็นคำตอบที่ถูก 100% เพราะถ้าเอาแผนการตลาดเหล่านั้นไปใช้งานจริง มันยังต้องขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา ปัจจัยภายนอก และความไม่แน่นอนอื่นๆ อีก เพียงแต่คำตอบที่ดีกว่า จะมีโอกาสเป็นแผนการตลาดที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่า คำตอบแทนที่ดีน้อยกว่าเท่านั้น
ผมว่าการลงทุนก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เข้าข่ายนี้เหมือนกัน มันเป็นเรื่องตลกที่จะบอกว่าหุ้นตัวไหนจะวิ่งแน่ๆ ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า หรือมันเป็นเรื่องตลกที่จะบอกว่า บริษัทไหนผลประกอบการจะดีอย่างแน่นอนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า การที่เราวิเคราะห์ข้อมูลแล้วสรุปว่า หุ้น ABC เป็นหุ้นที่น่าสนใจนั้น มันเป็นได้เพียงแค่การสรุปว่า ABC น่าจะมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าที่จะให้ผลตอบแทนที่แย่ เท่านั้น แต่ไม่มีคำว่า ชัวร์ 100% เพราะปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อผลประกอบการของธุรกิจนััน อาจมีปัจจัยแค่ 50% เท่านั้นที่องค์กรหรือผู้บริหารควบคุมหรือบริหารจัดการได้ แต่ยังต้องมีปัจจัยอีก 50% ที่อยู่เหนือการควบคุมอีก เราจึงอาจคาดการณ์ได้เพียงแค่ 50% เท่านััน อีก 50% ยังต้องขึ้นกับสถานการณ์แวดล้อมอีก
แต่ด้วยความเคยชินของนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอน ชอบอะไรที่ชัวร์ 100% บางทีเวลานักวิเคราะห์พูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้ หรือพูดเป็น scenario นักลงทุนอาจจะรู้สึกรำคาญ เลยอยากให้นักวิเคราะห์ฟันธงออกมาเลยดีกว่า หรือบางที นักวิเคราะห์ก็พูดแบบฟันธงออกมาเอง แต่เข้าใจว่านักลงทุนเข้าใจอยู่แล้วว่า ทั้งหมดอยู่บนสมมติฐานของความไม่แน่นอนบางอย่างด้วย แต่นักลงทุนเข้าใจว่านักวิเคราะห์มองว่าหุ้นตัวนี้ชัวร์ 100% เพราะบางทีมันก็เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่นักลงทุนจะมองอะไรเป็น scenario หรือคิดว่าหุ้นตัวไหนดีหรือไม่ดีเป็น % เพราะเราไม่เคยถูกฝึกฝนให้คิดแบบนั้นมาตั้งแต่เล็ก แต่เราถูกสอนให้มองโลกนี้เป็นขาวหรือดำไปเลย เพราะว่ามันคิดง่ายกว่า
คนที่เคยชินกับการมองโลกเป็นขาวกับดำนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะซื้อหุ้นตัวเดียวทั้งพอร์ต หรือเชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “หุ้นเด็ด” มากเป็นพิเศษ เพราะในเมื่อมีหุ้นที่ชัวร์ 100% เราจะไม่ซื้อตัวเดียวเต็มพอร์ตไปทำไม
จริงๆ แล้ว อะไรก็ตามที่ชัวร์ 100% ในโลกการเงินนั้น เป็นสิ่งที่อันตรายมากที่สุดแล้ว เพราะเมื่อไรก็ตาม ที่เราเชื่อว่ามีอะไรที่ได้กำไรชัวร์ 100% เราจะทุ่มเงินทั้งหมดของเราไปที่ตัวนั้น (ขายบ้านมาซื้อได้เลย) และเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เราก็จะสูญเงินของเราไปทีเดียวทั้งหมดเลย ต่างกับอะไรก็ตามที่ยังไม่ชัวร์ 100% เราจะยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ ทำให้เราไม่เอาเงินทั้งหมดที่มีอยู่ถมลงไปที่จุดเดียว เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้น เราจึงยังไม่เจ็บตัวมากขนาดที่จะหมดตัวได้
คนที่ไม่เชื่อว่ามีอะไรที่ชัวร์ 100% ในตลาดการเงิน จะไม่มีวันหมดตัวครับ
Happy New Year krub
Happy New year ครับ
ขอบคุณมากและสวัสดีปีใหม่ครับ ได้ข้อคิดที่ดีอีกเช่นเคย
ขอบคุณครับ…สวัสดีปีใหม่ทุกคนครับ
สวัสดีปีใหม่ทุกๆ ท่านเช่นกันครับ
สวัสดีปีใหม่ครับพี่สุมาอี้
ประโยคสุดท้ายเด็ดสุดเลยนะครับ
Happy New Year,all the best to you all!
เจ๋งครับ HNY to all
Happy New Year ทุกท่านครับ
สวัสดีปีใหม่ ทุกท่านครับ^_^
Wishing you good times, good health, good cheer, and a very Happy New Year !
มอบแด่พี่โจ๊ก&แฟนคลับทุกท่านคะ ^___^
ตลาดหุ้นไม่ีมีอะไรชัวร์ 100% แต่ว่าปีใหม่มีแน่ๆ 100% ขอให้ทุกท่านทั้งผู้อ่านและผู้เขียน สุข สดชื่น สมหวัง แข็งแรง บ้่านเมืองไปรอด ธุรกิจเบิกบาน(อย่างน้อยกในระยะยาว)
Happy new year kub
ขอบคุณครับ และขอสวัสดีปีใหม่ต่อสมาชิกทุกท่านด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่คุณโจ๊ก และแฟนคลับทุกท่านค่ะ
” ขอให้มีความสุข ประสบความสำเร็จทุกๆด้านนะคะ “
ขอบคุณพี่โจ๊กมากครับที่ถ่ายทอดความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ในการลงทุนมาตลอดปี2556 ^/\^
ปีใหม่นี้ขอให้พี่โจ๊กและเพื่อนๆนักลงทุนทุกๆท่าน
มีความสุข สงบ ผ่องใสในจิตใจ และมีความรู้ที่เพิ่มมากขึ้น และสำเร็จในการลงทุนนะครับ^^
thanks หลายๆ
เห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับ พี่โจ๊ก
ผมเองก็คิดเรื่องนี้เองมาสักพักเหมือนกัน เวลาเราได้ยินคำว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” จริงเรื่องนี้ก็เหมือนกัน เราเพียงแต่รู้ว่าถ้าเราทำดี “โอกาส” ที่เราจะมีชีวิตที่ดี มีความสุขประสบความสำเร็จก็มากกว่าทำชั่ว แต่จะบอกว่าถ้าทำดีแล้วจะได้ผลตอบแทนแน่ๆ 100% คงจะได้พบแต่ความผิดหวัง
แชมป์โลก Poker ยังไม่สามารถชนะทุก Hand ได้เลยแต่เค้ามีวิธี ที่พิสูจน์แล้วว่ามีโอกาสชนะมากกว่าคนธรรมดา ชนิดที่ว่าเอาใครไปเล่นด้วยก็หมดตัวแน่นอน
หลังจากวันที่หุ้นลง 60 จุด มีนักลงทุนมาปรึกษาเรื่องหุ้นส่วนตัวเยอะมาก
ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า นักลงทุนจะรู้สึกว่าพื้นฐานของหุ้นแย่ลง หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลงเยอะๆ ซึ่งเป็นลักษณะของอาการจิตตก มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของเหตุผลนะครับ เวลามีข่าวร้ายแต่ราคาหุ้นแข็ง เราจะไม่ค่อยรู้สึกว่าพื้นฐานหุ้นไม่ด แต่ถ้าหากราคาหุ้นลงแรงๆ เราจะรู้สึกว่า พื้นฐานหุ้นไม่ดีไปด้วย ซึ่งที่จริงแล้ว พื้นฐานของหุ้นน่าจะส่งผลต่อความคิดของเราเกี่ยวกับราคาหุ้น มิใช่ราคาหุ้นส่งผลต่อความคิดของเราเรื่องพื้นฐาน
ช่วงนี้อยากให้ตั้งสติกันให้ดีๆ ครับ คิดให้ดีๆ ว่า เราคิดว่าหุ้นพื้นฐานแย่ลง เพราะข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับตัวหุ้นจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าราคาหุ้นลงเยอะ ทำให้เราจิตตก
นักลงทุนจะตัดสินใจเก่งไม่เก่ง ก็วัดกันตรงนี้แหละ
ขอบคุงค้าบ
สวัสดีปีใหม่ครับ ขอให้โชคดีมีกำไรกันทุกคนนะครับปีใหม่นี้ และคงยังไม่สายไปนะครับที่จะHAPPY NEW YEAR
ตลาดหุ้น มีความผันผวน ชัวร์ 100%คับ55