ถ้าคุณเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี คุณก็อาจได้ผลตอบแทนในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจจะยังไม่พอที่จะได้ผลตอบแทนในระดับที่ยอดเยี่ยมได้ เหตุเพราะว่า
หุ้นพื้นฐานดีเหล่านี้อาจเป็นหุ้นที่ใครๆ ในตลาดหุ้นก็รู้ว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดี จะว่าไปแล้ว หุ้นที่ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเป็นหุ้นพื้นฐานดีนั้น ราคาหุ้นน่าจะเกินมูลค่าพื้นฐานอยู่เกือบตลอดเวลา โอกาสที่จะซื้อหุ้นเหล่านั้นได้ที่ไม่แพงนั้นแทบจะไม่มีเลย
ยิ่งถ้าหุ้นพื้นฐานดีเหล่านั้น เป็นหุ้นที่ไม่โตด้วย กล่าวคือ เป็นธุรกิจที่ได้ exploit โอกาสในการเติบโตทั้งหมดที่มีอยู่ไปแล้ว จนธุรกิจแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ว่าไม่มีช่องว่างเหลือให้ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก กำไรแต่ละปีจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าธุรกิจจะแข็งแรงมากก็ตาม ตามสูตร DCF แล้ว ถ้าหาก Free Cash Flow เท่าเดิมทุกปี กี่ปีผ่านไป Fair Value ของบริษัทก็จะคำนวณได้เท่าเดิม แสดงว่า มูลค่าของบริษัทจะไม่ได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว ถือไว้ก็ไม่ได้ capital gain อาจจะได้แค่เงินปันผลเล็กน้อยเท่านั้น
คนที่จะได้ผลตอบแทนในระดับ superior ในตลาดหุ้นจริงๆ จึงไม่ใช่คนที่แค่ซื้อหุ้นพื้นฐานดี แต่เป็นคนที่สามารถมองเห็นหุ้นที่พื้นฐานกำลังจะดีขึ้น ได้ก่อนคนอื่นๆ แล้วเข้าไปซื้อเก็บไว้ก่อนคนส่วนใหญ่ในตลาดด้วย และการที่พื้นฐานหุ้นจะดีขึ้นได้นั้น จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก หรือภายในบริษัทเอง เพราะถ้าหากบริษัทไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว อยู่ดีๆ พื้นฐานจะเปลี่ยนก็คงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นกับบริษัท คือสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่าเฉพาะส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ที่เป็นส่วนที่นักลงทุนจะหากำไรส่วนเกินจากตลาดหุ้นได้ การลงทุนกับหุ้นที่ดีนั้นสูงการลงทุนกับหุ้นที่กำลังดี “ขึ้น” ไม่ได้เลย ยิ่งถ้าหากเป็นทั้งหุ้นที่ดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นด้วย ก็ยิ่งเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด
การเปลี่ยนแปลงที่เราควรให้ความสนใจเพราะอาจทำให้พื้นฐานเปลี่ยนแปลงได้นั้นมีอยู่หลายอย่าง ถ้าเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกก็ได้แก่ การที่รัฐเพิ่งเปลี่ยนกฎกติกาของอุตสาหกรรมนั้นใหม่ รสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยน คู่แข่งรายใหญ่ๆ ที่ตายไป หรือถ้าเป็นปัจจัยภายนอก ก็เช่น บริษัทออกสินค้าใหม่ๆ เจาะตลาดใหม่ๆ ขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคใหม่ เข้าสู่ธุรกิจใหม่ ควบรวมกิจการ แตกบริษัทลูก จัดองค์กรใหม่ หรือแม้แต่การที่กรรมการบริษัทลาออก เพราะอาจหมายถึงการปลดล็อคการเมืองภายในองค์กรที่ดำเนินมานานทำให้บริษัทพัฒนาไม่ได้ เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นหลักหรือกรรมการผู้จัดการ ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก เพราะบุคลิกของบุคลากรระดับสูงนั้นส่งผลอย่างยิ่งต่อคาแรกเตอร์ของบริษัท จึงมักทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้มาก นักลงทุนที่มุ่งหาผลตอบแทนที่สูงกว่าธรรมดา จะต้องเป็นคนที่จ้องหาแต่ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับบริษัทจดทะเบียน เพื่อที่จะได้ประเมินว่า ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะเพิ่ม (หรือลด) มูลค่าของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม การจับความเปลี่ยนแปลงนั้นต้องการเวลาในการเกาะติดตลาดหุ้นมากขึ้นด้วย จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของนักลงทุนแต่ละคนด้วย คนที่มีเวลาว่างให้กับตลาดหุ้นมากกว่าย่อมมีโอกาสที่จะจับความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า แต่ถ้าไม่เวลาว่างขนาดนั้น เพียงแต่ลงทุนในหุ้นดี กระจายความเสี่ยงพอประมาณ และไม่ซื้อในราคาที่สูงเกินไป ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมแล้ว การได้กำไรพิเศษจากความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องของการลงทุนเวลาในการทำการบ้าน ใครขยันกว่าก็มีโอกาสได้มากกว่าครับ
ขอบคุณครับ ผมสมาชิกใหม่ตอนนี้ไล่อ่านตั้งแต่บทความแรก จนถึงบทความล่าสุด รู้สึกมุมมองเกี่ยวกับหุ้นพัฒนาขึ้นเยอะครับ มีประโยชน์มากจริงๆ
พี่โจ๊กพอจะเห็นตัวอย่างบริษัท ที่”อาจ”มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มั้ยครับ
ส่วนตัวผมว่า ธ กรุงไทย อาจเข้าข่าย เพราะได้ผู้บริหารรุ่นใหม่ (แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ คล้ายๆกับหุ้นเทินอะราว มันอาจจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จก็ได้)
กรุงไทยเหมือนจะมีช่องว่างในการเพิ่มมูลค่าได้อีกมาก ถ้าเทียบกับธ.เอกชนขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ
แต่ก็ต้องมีใครที่เก่งพอที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เพื่อดึงเอาศักยภาพเหล่านั้นออกมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเหมือนกัน
TRUE จัดว่าเข้าข่ายไหมครับ
ถ้า True ขายสินทรัพย์เข้ากองทุนได้สำเร็จ ก็ถือเป็นการ take upside ที่มีอยู่ได้สำเร็จในจุดหนึ่ง
แต่หลังจากนี้ไป อาจจะดูไม่ค่อยเข้านิยามนี้เท่าไร hidden asset ที่มีอยู่ก็ใช้ไปแล้ว ถ้าจะถามว่าทรูยังมีศักยภาพอะไรที่ยังไม่ได้ใช้อีกมั้ย ก็น่าจะมีไม่มาก เพราะที่ผ่านมาบริษัทก็ดิ้นรนเต็มที่แล้ว แต่เพราะว่าอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จึงไปไม่ถึงไหน จึงอาจไม่ใช่กรณีของบริษัทที่มีของดีอยู่แต่ยังไม่ได้นำออกมาใช้
(มุมมองส่วนตัว)
ขอบคุณครับ 🙂
big change ทำให้ เกิด recalculate มูลค่า
ถ้ายิ่งเป็น ภาพที่ตลาด ยังนึกภาพกันไม่ออก
ก็ยิ่งเป็น big bet
ประเด็นคือ
1 แพ้ต้องขาดทุนไม่มาก
ชนะต้องได้เยอะๆ
2 feasibility อาจจะต้องซัก 70-80%
ขอบคุณมากครับ ^ ^