ในโลกของ DeFi มีบริการให้กู้ยืมเหรียญคริปโตต่างๆ ตัวอย่างเช่น Compound Finance ในบล็อกเชน Ethereum หรือ Venus Protocol ในบล็อกเชน BSC เป็นต้น
บริการที่ว่านี้ เราจะต้องฝาก (supply) เหรียญหนึ่งไว้เป็นประกัน (collateral) ก่อนเพื่อกู้ (borrow) เหรียญอีกอย่างหนึ่งออกไป โดยที่เราจะได้รับดอกเบี้ยจากการฝากเหรียญชนิดแรก และต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับการกู้เหรียญชนิดที่สอง หักลบกันกลายเป็นดอกเบี้ยจ่ายสุทธิที่เราต้องเสีย
ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาเล่น DeFi ใหม่ๆ ผมสงสัยมากว่า คนที่มากู้เหรียญเหล่านี้เขากู้ไปทำไมกัน ในเมื่อเขาต้องเอาเหรียญอีกชนิดหนึ่งมาวางเป็นประกันไว้ด้วย ซึ่งเหรียญที่วางประกันก็ต้องมีมูลค่ามากกว่าเหรียญที่กู้ออกไปด้วย เท่ากับว่าคนที่มากู้ต้องเป็นคนที่รวยเหรียญอยู่แล้ว แล้วเขาจะกู้ไปทำไม
เหตุผลที่คิดออกก็คือ บางคนต้องการถือเหรียญบางชนิดไว้ในระยะยาว หรือที่เรากันว่าเป็นสาย HODL เพราะเชื่อในอนาคตของเหรียญนั้นว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นได้ในอนาคต แต่การถือเหรียญไว้เฉยๆ จะไม่ได้ดอกเบี้ย และส่วนใหญ่แล้ว เหรียญที่ผู้คนนิยมถือยาวๆ กันมากๆ มักเป็นเหรียญที่ใช้หาผลตอบแทนไม่ค่อยได้เสียด้วย เช่น BTC, ETH เป็นต้น เหรียญพวกนี้มีคนเก็บยาวเยอะมาก ทำให้เอาไปฝากที่ไหนก็จะได้ดอกเบี้ยต่ำมากๆ หรือเอาไปฟาร์มที่ไหนก็ได้ผลตอบแทนต่ำมากเช่นกัน ดังนั้นคนที่ต้องการ HODL เหรียญเหล่านี้ก็เลยเอาเหรียญพวกนี้มาฝากกับ Compound หรือ Venus แล้วกู้ออกไปเป็นเหรียญอื่นที่มีหนทางหาผลตอบแทนได้มากกว่า เช่น พวกเหรียญใหม่ๆ ที่เอาไปฟาร์มได้ APR สูงๆ ก็เท่ากับว่า เขาจะได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังได้เป็นเจ้าของเหรียญ BTC หรือ ETH ที่พวกเขาเชื่อมั่น และรอเวลาให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นได้อยู่
การกู้แบบนี้ไม่ได้มีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนแบบคนที่กู้เงินต่างประเทศด้วย คือเรากู้เหรียญอะไรออกไป ถึงเวลาเราก็คืนด้วยเหรียญนั้น ด้วยจำนวนที่เท่าเดิมเสมอ ไม่ต้องรับความเสี่ยงที่ราคาเหรียญที่กู้มานั้นจะผันผวนแล้วทำให้มูลหนี้ของเราเพิ่มขึ้น เว้นเสียแต่ว่าเราจะกู้ไปขายช็อต ถ้าเหรียญนั้นแพงขึ้น เวลาซื้อมาคืนหนี้ก็จะขาดทุนได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเหรียญนั้นมีมูลค่าลดลงมากจนทำให้หลักประกันไม่พอ อันนี้จะต้องไปหาหลักประกันมาเติม มิฉะนั้นจะถึง liquidate ได้เช่นกัน
เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ลองเอา stablecoin ไปวาง เพื่อกู้เป็น BNB ออกมา จากนั้นก็เอา BNB ไป stake 14 วันกับ binance เพื่อทำให้เรามีสิทธิ์จองเหรียญออกใหม่ของเขาได้ ผมพบว่าการทำแบบนี้มีความปลอดภัยมากกว่าการที่เราไปซื้อ BNB ในตลาดโดยตรงเพื่อเอามา stake เสียอีก เพราะเวลาที่มีงานจองเหรียญใหญ่ๆ เกิดขึ้น แบบนี้ คนจำนวนมากก็จะแห่กันซื้อ BNB ในตลาดทำให้ราคา BNB พุ่ง เราก็ต้องซื้อแพง พองานจบ ทุกคนก็ขาย BNB ทิ้งในตลาดพร้อมๆ กัน ทำให้ BNB ราคาตก เราก็จะขาดทุนจากราคา BNB ที่ร่วงลงได้ แทนที่เราจะไปซื้อ BNB มา เราก็ใช้วิธีกู้ BNB มาแทน ถึงเวลาเราก็คืน BNB จำนวนเท่าเดิม ไม่ต้องรับความเสี่ยงว่าราคา BNB จะเปลี่ยนไปแค่ไหนในช่วงนั้น (ตราบเท่าที่ BNB ไม่ได้เปลี่ยนมากขนาดทำให้เกิดจาก liquidate ได้) นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของอัตถประโยชน์ของการกู้เหรียญ
นอกจากนี้ ผมยังได้ยินมาว่า พวกคนอเมริกันที่รวยเหรียญ เวลาเขาอยากจะ cash out เหรียญของเขาออกมาเป็นเงินดอลล่าร์ เพื่อเอาไปใช้จ่าย แทนที่จะแลกเหรียญกลับมาเป็นเงินดอลล่าร์ ซึ่งจะทำให้ต้องเสียภาษีเยอะ เพราะว่ากำไรเยอะ (capital gain tax) พวกเขาจะใช้วิธีเอาเหรียญไปวางใน compound แล้วกู้เป็น stablecoin ออกมา แล้วเอาไปแลกเป็นดอลล่าร์อีกที วิธีนี้จะถือว่าเป็นธุรกรรมการกู้ ไม่ถือว่าเป็นรายได้ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเลย
เขียนอธิบายแบบนี้ บางทีอ่านแล้วก็ยังทำความเข้าใจยากอยู่ครับ ถ้าอยากเข้าใจมันจริงๆ ผมแนะนำให้ลองไปกู้ดู แค่ 100-200 บาท ก็กู้ได้แล้ว แล้วลองหาวิธีหาประโยชน์จากมัน ก็จะเข้าใจเอง