หลายท่านน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวการลงทุนหุ้นปูนซิเมนต์ไทยของคุณวิกรม เกษมวุฒิ กันมาบ้าง ผมว่าเรื่องนี้สามารถเป็นตำนานในตลาดหุ้นไทยได้เลยทีเดียว
ในวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเมื่อ 34 ปีที่แล้ว คุณวิกรมนำเงินจำนวน 16, 700 บาท ไปซื้อหุ้นปูนซิเมนต์ไทยจำนวน 100 หุ้น แล้วนั่งทับใบหุ้นเอาไว้ อีกสามสิบเอ็ดปีต่อมา ปูนซิเมนต์ไทยแตกพาร์ไปทั้งหมดสองครั้ง ทำให้ 100 หุ้นของคุณวิกรมกลายเป็น 1 หมื่นหุ้น หุ้นจำนวนนั้นจึงมีมูลค่า 2, 340, 000 บาท (234 บาทต่อหุ้น ข้อมูล ณ ปี 2549) หรือเพิ่มขึ้นมา 140 เท่าตัว นี่ยังไม่รวมเงินปันผลที่คุณวิกรมได้รับมาระหว่างทางตลอด 31 ปีเป็นเงินอีก 7.4 แสนบาท กลายเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3.08 ล้านบาทเข้าไปแล้ว
ถ้าหากคิดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยปีละ 5% เงินจำนวน 16, 700 บาทเมื่อ 31 ปีก่อน ก็คงมีค่าประมาณ 75, 000 บาทของเงินสมัยนีหรือเท่ากับเงินเดือนประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้น นั่นก็หมายความว่า เงินเดือนแค่ 3-4 เดือนเมื่อ 30 ปีที่แล้วของคุณวิกรมสามารถทำงานได้มากกว่าหลายๆ คนที่ทำงานหาเงินตลอดชีวิต 30 ปี เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำงานตลอดชีวิตแล้วยังเก็บเงินไม่ได้ถึง 3 ล้านบาทเลย
คุณวิกรมเพียงแค่กลั้นใจไม่เอาเงินเดือนสักสามเดือนมาใช้ แต่นำเงินก้อนนี้ไปซื้อหุ้นเก็บไว้เฉยๆ 100 หุ้น แค่เนี่ย ไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
บางคนอาจแย้งว่า หุ้นในตลาดมีตั้งมากมาย แล้วจะรู้ได้ไงว่าต้องซื้อหุ้นปูน ถ้าซื้อหุ้นตัวอื่นไปอาจจะเจ๊งไปกับวิกฤตต้มยำกุ้งแล้วก็ได้ แต่ถ้าไปดูข้อมูลจะเห็นได้ว่า ในวันที่เปิดตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 34 ปีก่อน มีหุ้นในตลาดแค่ 8 ตัวเท่านั้น สมมติว่า คุณไม่รู้อะไรเลย จึงใช้เงิน 16, 700 บาทของคุณ แบ่งซื้อไปหมดทั้ง 8 ตัวเท่ากัน แล้วสมมติว่า อีก 7 ตัวที่เหลือเจ๊งหมด คุณก็ยังได้ผลตอบแทนจากหุ้นปูน 3.85 แสนบาท จากเงินลงทุน 16, 700 บาท หรือยังกำไรอยู่ถึง 23 เท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งในความเป็นจริง หุ้นทั้ง 8 ตัว ในปัจจุบันเหลือแค่ 4 ตัว คือ SCC, BBL, BJC และ DTC ซึ่ง BBL ก็ให้กำไรถึง 20 เท่า ส่วน BJC และ DTC ให้กำไรถึง 10 เท่า
ดังนั้นต่อให้ไม่รู้ว่าต้องเป็นหุ้นปูนใหญ่ เรื่องราวนี้ก็ยังเป็นตำนานที่น่าทึ่งอยู่ดี
แล้วทำไมคุณจะไม่ลอง Bet อะไรอย่างนี้กับการลงทุนในหุ้นระยะยาวๆ ดูบ้าง แค่ลองนำเงินเก็บเท่ากับเงินเดือนสัก 3-4 เดือนไปซื้อหุ้นอะไรก็ได้ที่คุณคิดว่ามีความมั่นคงในระดับเดียวกับ SCC ไว้ สัก 4-5 ตัว แล้วสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ขายเลยตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหมือนซึ้อทิ้ง แกล้งสมมติว่า คุณบังเอิญทำเงินเดือน 3 เดือนนี้หายไป การ Bet อย่างนี้ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย แต่ถ้าหากมัน “ใช่” ขึ้นมา ผลตอบแทนของมันจะคุ้มเกินคุ้มเลยทีเดียว และการเจียดเงินเล็กๆ ส่วนหนึ่งมาทำแบบนี้ ก็ไม่ได้แปลว่า คุณจะต้องเลิกเก็งกำไรตามแบบที่คุณชอบทำอยู่ พอร์ตหลักของคุณจะลงทุนยังไงก็ลงทุนต่อไปเหมือนเดิม ไม่ได้มีผลกระทบอะไร
อีกทั้งมันยังเป็นหลักประกันด้วยว่า ถ้าพอร์ตเก็งกำไร ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของคุณ ซึ่งคุณใช้เงินจำนวนมากกว่า เพราะคุณหวังกับมันว่า มันจะทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีได้ในเวลาแค่สองสามปี แต่มันเกิดเจ๊งขึ้นมา ทำให้คุณหมดตัว อย่างน้อยคุณก็ยังคงมีตรงนี้เป็นที่พึ่งพาได้อยู่
สาเหตุที่ที่ผ่านมาเรื่องนี้ไม่ค่อย “โดน” ใจนักลงทุนไทยมากนัก ผมว่าน่าจะเป็นเพราะ วิธีนี้เป็นการถือหุ้นยาว คำว่า ถือหุ้นยาว ทุกวันนี้เป็นคำที่ค่อนข้างแสลงในความรู้สึกของนักลงทุนไทยส่วนใหญ่
แต่ถ้าเป็นการพิจารณาโดยเปรียบเทียบ Upside/Downside ด้วย ผมดูแล้วยังไงๆ วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่คุ้มเหลือคุ้มที่ทุกคนจะลองทำดูไว้สักหนึ่งครั้งในชีวิตครับ เพราะแม้จะเป็น small probability of very large gain แต่ต้นทุนในการทดลองมันต่ำมากครับ