BJC เคยเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่อยู่ในเรดาห์ของ 7thLTG เนื่องจากมีแผนการขยายงานที่ค่อนข้างใหญ่ (แม้ว่าจะพึ่งการควบควมกิจการเป็นหลักก็ตาม) และก็เกือบๆ จะถูกบรรจุเข้าไปในพอร์ตด้วย
แต่จากการ ประเมินคุณภาพของธุรกิจล่าสุด ผมก็ยังไม่รู้สึกมั่นใจในหุ้นตัวนี้มากพอ และอาจจะน้อยลงด้วยซ้ำ เพราะยังคงตอบไม่ได้ว่า ทิศทางของบริษัทคืออะไรกันแน่ ดูเหมือนบริษัทจะควบรวมกิจการที่หลากหลายมาก ทั้งโรงงานผลิต ค้าส่ง และค้าปลีก เลยไม่รู้ว่า BJC ต้องการเป็นยักษ์ใหญ่ในด้านไหนกันแน่ หรือถ้าต้องการเก่งทุกอย่าง ก็คงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีแน่ๆ
ที่ทำให้รู้สึกกังวลมากขึ้นอีกในช่วงหลังก็คือ ดูเหมือนเวลานี้ BJC จะเป็นบริษัทที่รวมเอา เบอร์ 2, 3, 4 ของทุกๆ ธุรกิจไว้ในบริษัทเดียวกัน เพราะบริษัทลูกส่วนใหญ่ของ BJC ไม่ใช่ผู้นำในตลาดของตัวเองทั้งสิ้น ถ้าหากกิจการใหญ่ขึ้นเพราะควบรวมบริษัทมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกๆ บริษัทที่ควบรวมเข้ามามีปัญหาในการแข่งขันทั้งหมด ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนักสำหรับคนที่เป็นเจ้าของ
บริษัทที่จะใช้กลยุทธ์ควบรวมกิจการได้ดีต้องอยู่ในธุรกิจที่มีกำไรและสภาพคล่องสูง และตัวเองยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรง แต่เมื่อมองงบการเงินของ BJC แล้วก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้นอีก เพราะ d/e ในเวลานี้เริ่มจะสูงมากแล้ว (1.85 เท่า) และมักเป็นจุดตายของบริษัทที่เติบโตด้วยกลยุทธ์ควบรวมกิจการ เพราะทำให้การเข้าถึงสภาพคล่องทางการเงินมีขีดจำกัดมากขึ้น ธุรกิจที่มีอยู่แล้วในมือตอนนี้ก็ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดให้ล้นหลามมากนัก เพราะเป็นโรงงานผลิตสินค้าเสียเยอะ (capital-intensive) ราคาหุ้นในเวลานี้ก็ไม่ได้ถูก พีอีกว่า 30 เท่า เหมือนกับว่าตลาดยังคงคาดหวังการควบรวมกิจการเพื่อทำให้กำไรเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ดูแล้วเป็นความเสี่ยงมากกว่าเป็นโอกาส
ถ้าบริษัทยังเป็นแบบนี้อยู่ ก็คงต้องปรับออกจากเรดาห์ไปก่อน เป็นหุ้นเติบโตก็จริงแต่ที่ไม่ได้เติบโตไปในแบบที่ถูกใจเรา เลยขอแค่เป็นคนนอกที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ก็พอครับ
เห็นด้วยกับแนวทางของ bjc ที่ค่อนข้างสะเปะสะปะไปหน่อย แต่มองด้านการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ดูเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทีเดียว น่าจะเป็นตัว drive กำไรให้ bjc ได้อย่างมากในอนาคต หรือเปล่าคะ
เหมือนธุรกิจเวียดนามจะดูโตเพราะเป็นการควบรวม อันที่เป็นร้านสะดวกซื้อก็เหมือนจะเป็นเบอร์ 4 ของประเทศ
บริษัทที่ BJC ควบรวมทำให้เกิด Synergy ต่อธุรกิจเดิมหรือธุรกิจหลักที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้อัตราผลกำไรเติบโตขึ้นอย่างมากในอนาคตหรือเปล่าครับ
ต้องขึ้นอยู่กับว่าที่ซื้อมามันมีส่วนที่เอื้อกันหรือทับซ้อนกันมากแค่ไหน และต้องไม่เป็นเมกะโปรเจ็คเกินไปด้วย แบบว่าต้องซื้อทุกอย่างถึงจะครบวงจร มักจะไปไม่ถึงดวงดาว
ตอนนี้ยังมองไม่เห็นว่า BJC จะสร้าง synergy อะไรที่ชัดเจน
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ สำหรับ BJC ธุรกิจหลากหลาย ติดตามลำบากจริงๆ ครับ และแต่ละธุรกิจ ก็ออกคนละแนว ไม่รู้ผู้บริหารจัดการยังไง ล่าสุดผมได้มีโอกาสคุยกับตัวแทนบริษัทที่ทำเกี่ยวกับยา เวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ ดูแล้วน่าสนใจมากๆครับ ผลิตภัณฑ์ของบริษัท หากอยู่ในวงการแพทย์จะรู้ว่าไม่ธรรมดา มีหลายคุณภาพให้เลือกแข่งกับคู่แข่งอื่นได้สบายมาก ผมเลยถามผู้จัดการเขตที่รับผิดชอบที่ที่ทำงานผมว่าอัตราส่วนรายได้ในธุรกิจส่วนนี้ ว่าเยอะไหมเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นของบริษัท ได้คำตอบว่าน้อยมากและเป็นธุรกิจที่บริษัทไม่ได้มุงเน้นอะไรมากนัก ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าในส่วนการแพทย์เป็น ธุรกิจที่น่าสนใจมาก(ผมก็เพิ่งรู้ครับว่า BJC ขายพวกนี้ด้วย) แต่น่าจะเพราะความหลากหลายทำให้ไม่รู้จะ Focus อะไร ผู้จัดการยังพูดติดตลกกับผมเลยว่า เป็นธุรกิจ “ของเล่น” คนรวย ก็เล่าสู่ฟังครับ ว่าในความหลากหลายของบริษัท อาจมีธุรกิจที่ดีหรือน่าสนใจมากๆ ซ่อนอยู่ หากแต่บริษัทขาดการมุ่งเน้น เพราะความหลากหลายในธุรกิจมากไปหน่อย น่าเสียดายมากๆ ครับ
จริงๆธุรกิจยา เวชภัณฑ์ กำไรขั้นต้นสูงแต่พอกำไรสุทธิมันกลับไม่เยอะ เพราะมันต้องจ่ายอะไรเยอะ รวมทั้งเงินเดือนค่าบริหารอีก (อันนี้ไม่เกี่ยวกับ BJC นะ แต่ที่เคยรู้มาหลายๆบริษัทโดนขโมยของออกมาขายก็เยอะ กำไรมันก็เลยไม่ดี รวมทั้งเจ้าของอาจไม่ได้มองว่าเป็นธุรกิจหลักด้วยมั้ง )
เหรอครับ พอดีผมมองจากมุมมองลูกค้าครับ ผลิตภัณฑ์ยาที่ผมให้ของบริษัทนี้เป็นยาเคมีบำบัด ให้หลังผ่าตัดสำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ครับ ซึ่งผมต้องมาเลือกหลายบริษัท ก่อนสั่งเข้าที่ทำงาน รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ดีสุดครับเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในราคาและมาตรฐานเดียวกัน และยาบางตัวเป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศอีกเลยจำเป็นต้องใช้ ผมเลยลองแอบถามราคาของอุปกรณ์ผ่าตัดบางชนิดของบริษัท แล้วเทียบกับของเดิมที่มีอยู่ ผมว่า OK มากๆ น่าเสียดายว่าก่อนหน้านี้บริษัทไม่ได้เข้ามาร่วมประกวดราคาด้วยครับ ผมเลยมองศักยภาพการแข่งขัน ในมุมมองลูกค้าว่า เยี่ยมมากๆ ครับ แต่เรื่องกำไรสุทธิ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ครับ ก็คิดว่าคงจะถูกกดราคาพอควรโดยเฉพาะขายให้หน่วยงานรัฐบาลครับ เพราะเวลาสั่งของเข้า ที่ที่ทำงานผม(เป็นหน่วยงานรัฐ)จะมองเรื่องราคาเป็นปัจจัยต้นๆ ต่อได้ก็ต่อราคาไปก่อนครับ (ตัวแทนคงเหนื่อยหน่ายพอควร) เพราะงบมีค่อนข้างกำจัด …ขอบคุณครับ
จริงๆกำไรที่ขายผมก็ว่าดีนะ เพราะบางอย่างถ้าไม่มีคู่แข่งลูกค้าก็ต้องยอมซื้อแม้จะดูว่าแพง แต่มันมีบางเรื่องที่ทำให้สุดท้ายกำไรออกมาไม่ดีมากกว่า