มองย้อนกลับไปในอดีต

กลับไปย้อนดูตัวเองเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ตัดสินใจยุติพอร์ตทดลอง 7thLTG ตอนนั้น มันทำใจยากมาก เพราะเป็นความตั้งใจแน่วแน่ที่เริ่มต้นไว้ตั้งแต่แรกว่า จะลงทุนต่อเนื่องให้ได้ติดต่อกันสิบห้าปี การยุติพอร์ตก่อนเวลาอันควรจึงเป็นเสมือนความล้มเหลวอย่างหนึ่ง

แต่เหตุผลที่ตัดสินใจกลืนน้ำลายตัวเองในเวลานั้นเป็นเพราะเราได้สูญเสียความเชื่อมั่นใน SET Index ไปจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ดัชนีเท่านั้น แต่คือหุ้นทุกตัวด้วย เรามองไม่เห็นหุ้นไทยที่มีคาแรคเตอร์ที่ชอบและอยากร่วมหัวจมท้ายกับมันเลยสักตัวเดียวมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นราว 3-4 ปี ในเมื่อไม่เหลือม้าที่ชอบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปสนามม้าทำไม ไม่อยากลงทุนแบบซักกะตาย ไร้จิตวิญญาณ

อันที่จริง ผมควรจะยุติพอร์ตนั้นไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้น 3-4 ปี คือตั้งแต่เราเริ่มไม่เหลือหุ้นไทยที่ชอบแล้วนั่นแหละ แต่เพราะว่าความยึดติด เราเติบโตมากับตลาดหุ้นแห่งนี้ เราจึงมี emotional attachment กับมัน มันเป็นเหมือนบ้าน เป็นเหมือนศาสนา การจะทำใจเลิกนับถือศาสนา ละทิ้งบ้านเกิด มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับปุถุชน  แต่สุดท้ายแล้ว มันก็จบลงด้วยการจากลาอยู่ดี ถ้ายังยื้อต่อไปคงเกิดภาวะหมดไฟ

บทเรียนอย่างหนึ่งที่ได้คือ เรื่องที่ยากที่สุดเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ใช่การแสวงหาความรู้ แต่คือการสลัดความรู้เก่าออก เพราะความรู้เก่ามักมีความยึดติดพ่วงมาด้วยเสมอ การยึดมั่นในหลักการนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ควรทำเสมอไป มีเส้นบางๆ ที่คั้นกลางระหว่างความยึดมั่นในหลักการกับการไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเลวร้ายพอๆ กัน เดี๋ยวนี้ผมเลิกใช้การลงทุนเป็นศาสนาแล้ว หลักการลงทุนสำหรับผมเป็นแค่เครื่องมือไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเครื่องมือยังใช้ได้ดีอยู่ก็ใช้ไป แต่ถ้าวันหนึ่งมันใช้งานไม่ได้แล้ว ผมก็สลัดทิ้งได้ทันที ไม่ต้องมีเยื้อใย เพราะเป็นแค่เครื่องมือ ไม่ใช่ศาสนา

วันนี้มองกลับไป ไม่ได้รู้สึกแล้วว่าเป็นความล้มเหลวที่ยุติพอร์ต ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าเป็นความผิดพลาดด้วยซ้ำที่ยุติมันช้าไปหลายปี จะพยายามไม่ผิดพลาดแบบนั้นอีกแล้ว