ปรับพอร์ต 7LTG ณ สิ้นปีที่ 11

อย่างที่บอกไปว่า Digital Disruption จะเป็นธีมหลักของการปรับพอร์ตรอบนี้ อยากให้พอร์ตใหม่พร้อมรับมือ Digital Disruption ไปตลอดช่วงเวลาลงทุนที่ยังเหลืออยู่เลย

หุ้นเดิมในพอร์ตที่ผมไม่ชอบที่สุด ถ้ามองจากธีมนี้คือ CPN จากเดิมที่เคยเป็นหุ้นในพอร์ตที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ ผมว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุดเรื่องออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมาเลย ถึงแม้ว่าผมจะมองว่า CPN เป็นบริษัทที่ปรับตัวเก่ง แต่ต่อให้ปรับตัวเก่ง อย่างดีก็แค่เสมอตัว ไม่น่าจะ prosper เหมือนเดิมได้

หุ้นอีกตัวที่จะปรับออกคือ MINT เหตุผลหนึ่งก็คือ MINT เพิ่งเพิ่มทุนไป และผมก็เพิ่มตามไปด้วย คิดเป็นจำนวนเงินก็เท่ากับได้ลงทุน MINT ล่วงหน้าไปแล้วเกือบสองปี จึงน่าจะชะลอการซื้อไปก่อน กอปรกับธุรกิจโรงแรมก็มีความเสี่ยงที่จะโดน Disrupt ในอนาคตได้เช่นกัน ถ้าคนนิยม Airbnb มากขึ้น (แต่เทรนด์นี้ก็ยังไม่ได้ชัดเจนมากในเวลานี้)​ ด้านร้านอาหาร MINT ก็โดน Delivery เล่นงานอยู่ แม้ว่า MINT จะเก่งในแง่รีบเข้าไปโผล่อยู่ใน GrabFood ได้เร็ว แต่การขายผ่าน Grab โดยที่ต้องซื้อพื้นที่ใน App ที่โดดเด่นจะน่าจะต้องแบ่งกำไรให้ Grab ไปไม่น้อยเลย (ก่อนหน้านี้ที่ผมเป็นห่วงอีกอย่างเกี่ยวกับ MINT คือ MINT ค่อนข้างกระโดดเข้าสู่กระแสนิยมอาหารเอเชียช้า แต่ก็โล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็น MINT ซื้อ บอนชอน อย่างน้อยเขาก็พยายามอยู่)

PSH ตัวนี้อาการหนัก วงการนี้ล้นตลาดอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนจะยังเป็นอีกนาน คนจีนที่หายไปจากตลาดคอนโด แบงก์ที่งบอ่อนแอทำให้ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และวงการก่อสร้างเองที่ซัพพลายล้นง่าย น่าจะเหนื่อยอีกนาน แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่จังหวะที่ดีเช่นกันที่จะขายออกมา เลยขอเก็บไว้ก่อน แค่หยุดซื้อเพิ่มเฉยๆ ในแง่ Disruption ก็ไม่ได้โดนตรงๆ ถือต่อไปก็คงไม่เป็นไร

นอกนั้นหุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคิดว่าน่าจะรับมือกับ Disruption ได้อยู่

  • BDMS แม้ว่าจะมีเสน่ห์ลดลง เพราะสมัยนี้คนไข้ตะวันออกกลางมาน้อยลง ต้องหันไปหาลูกค้า CLMV แต่ผมก็ยังมองหุ้นตัวนี้เป็นเชิงบวกอยู่
  • ADVANC แม้ว่าจะไม่ใช่ Tech Stock แท้จริงโดยนิยาม แต่ก็น่าจะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีพอสมควร การเติบโตไม่โดดเด่น แต่ธุรกิจไม่ได้ฝืนโลกดิจิตอลแน่ๆ
  • BTS คิดว่าตัวนี้ปลอดภัยจาก Disruption แน่นอน เป็นตัวที่อุ่นใจที่สุด ถ้าไม่ตัวนี้ ก็ BEM แต่คิดว่ามี BTS อยู่แล้ว ก็ไปกับตัวนี้ต่อเลยดีกว่า ไม่อยากปรับพอร์ตให้ซับซ้อนเกินไป
  • BJC ทุกวันนี้กำไร 70%  ของบริษัทมาจาก BigC ซึ่งผมมองว่าค้าปลีกที่โดน Disruption น้อย น่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่แหละ ดังนั้นจึงคิดว่าตัวนี้น่าจะอยู่ในพอร์ตต่อไปได้

ส่วนหุ้นที่เพิ่มเข้ามาใหม่ได้แก่ AOT ซึ่งก็แน่นอนเป็นธุรกิจที่ผูกขาด และเป็นธีมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธีมที่ผมสนใจมาตลอดสำหรับประเทศไทย และถ้าหากพอร์ตของเราจะ overweight การท่องเที่ยว (ซึ่งกลายเป็นทุกข์ลาภในช่วงที่ผ่านมาเพราะเจอ Covid) ผมว่าน่าจะซื้อหุ้นสนามบินมากกว่าโรงแรม เพราะทั้งผูกขาดและไม่โดน Disrupt ราคาหุ้นก็ลงมาพอดี ซึ่งก็อาจจะพักฐานอีกนาน แต่นั่นก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะเราซื้อสะสมช้าๆ แบบ DCA ยิ่งมีเวลาให้สะสมนานๆ ยิ่งดี ซื้อแล้วเด้งเร็วกลับเป็นเรื่องไม่ดี

นอกเหนือจาก AOT แล้ว มีหุ้นอีกหลายตัวก่อนหน้านี้ที่ผมคิดว่าจะเอาเข้ามาในพอร์ตดีมั้ยแต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจว่ายังก่อนดีกว่า อาทิเช่น

  • หุ้นโรงไฟฟ้า เพราะเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นเทรนด์อนาคต แต่พอมาดูลึกๆ อีกทีก็ไม่ค่อยแน่ใจ หลายบริษัทขายไฟฟ้าให้เอกชน รายได้ไม่ได้ชัวร์ขนาดนั้น และต้องพึ่งพาความสำเร็จของ EEC ด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร และบางทีถ้าราคาน้ำมันตกต่ำ ก็ใช่ว่าโรงไฟฟ้าจะดีเสมอไป สูตรขายไฟฟ้ามัน link กับราคาน้ำมันด้วยส่วนหนึ่งรึเปล่า โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายตัวที่ขายไฟฟ้าให้รัฐก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินในพอร์ตเยอะ ไปๆ มาๆ เลยไม่มีตัวไหนที่เข้าตาเลยสักตัว ทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
  • ETF ต่างประเทศ น่าจะเป็นการ Diversify ที่ดีถ้าจะมีไว้ในพอร์ต จะได้ไม่กระจุกอยู่ที่ประเทศไทยอย่างเดียว แต่ปัญหาใหญ่ของกองทุนรวมต่างประเทศบ้านเราคือ เป็น Feeder fund ที่มีค่าบริหารจัดการรวมหมดแล้ว แพงมากๆ ทำให้ยังคงไม่น่าลงทุนอยู่เช่นเดิม
  • หุ้นคอมโมฯ เป็นการ Diversify ที่น่าสนใจ เพราะขึ้นกับราคาตลาดโลก ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย แต่หลายตัวก็อิงกับน้ำมัน ซึ่งระยะยาวไม่น่าสนใจ และบทเรียนหนึ่งของพอร์ตนี้ที่ได้รับในอดีตคือ หุ้นวัฎจักรไม่เหมาะกับการลงทุนแบบ DCA เพราะเวลาที่ตกหนักๆ เราแทบไม่ได้อะไรเลย เพราะมันจะตกไม่นานพอที่เราจะเก็บสะสมได้เยอะ หุ้นที่เหมาะกับ DCA ควรเป็นธุรกิจน้ำซึมบ่อทราย ค่อยๆ โตวันละน้อย แต่กำไรไม่เหวี่ยงแรงๆ ก็เลยเลิกความคิดนี้ไปเช่นกัน

สรุปในวันที่ 25 กันยายน 2563 จะมีการปรับรายชื่อหุ้นที่จะซื้อใหม่ให้เหลือแค่ 5 ตัว คือ BJC, BDMS, BTS, AOT และ ADVANC และเพื่อให้จำนวนเงินลงทุนรวมเท่าเดิม จะมีการเกลี่ยเม็ดเงินตามตารางข้างล่างนี้

โดยที่จะปรับเฉพาะรายชื่อหุ้นที่จะซื้อใหม่ต่อไปนี้เท่านั้น ส่วนหุ้นตัวเก่าที่โดนปรับออกจะไม่ขายขายเก่าออกแต่เก็บไว้ก่อน เพื่อลดความซับซ้อนในการบริหารพอร์ต และคิดว่าหุ้นเหล่านั้นไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนี้ต้องรีบขายทิ้งด่วน

ไว้วันที่ 25 กันยายน จะมาสรุปสถานะพอร์ตปัจจุบันให้อีกทีครับ

 

 

8 Replies to “ปรับพอร์ต 7LTG ณ สิ้นปีที่ 11”

  1. พี่โจ๊กคิดอย่างไรกับธุรกิจอาหารในบ้านเราครับ แม้จะไม่น่าไปถึงครัวโลกอย่างที่ตั้งใจ แต่ก็ไม่น่าถูก disrupt
    ถ้าธุรกิจอาหารโอเค CPF น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับพอร์ตนี้รึเปล่าครับ แม้ว่าจะไม่ใช่อาหารทั้ง 100% ก็ตาม หรือมีตัวเลือกอื่นที่น่าสนใจกว่าครับ

    1. น่าสนใจครับ แต่เข้าข่าย soft commodities เลยไม่เหมาะกับพอร์ตนี้

  2. ขอสอบถามครับ
    หุ้น AOT คิดอย่างไรกับเรื่องที่ทาง AOT ปรับเรื่องการคิดค่าเช่าให้กับ King Power ในช่วง Covid ครับ
    ส่วนตัวคิดว่าทำแบบนี้ผู้ถือหุ้น AOT เสียผลประโยชน์ค่อนข้างมากครับ

    1. ใช่ครับ ราคาก็เลยลงมาเยอะ ทำให้อยากจะลองลงทุนตัวนี้ดู

  3. พอร์ตหลัก ขาย MINT ออกไปหมดพอร์ท แต่ยังเก็บ CPN ไว้อยู่ครับ (แต่คงจะไม่ได้ซื้อเพิ่มแล้ว) เพิ่งเพิ่ม ETF Vanguard S&P 500 (DCA ทุกเดือน แบบที่เคยบอกพี่โจ๊กไว้) และเพิ่งซื้อ BTS เข้ามาเช่นกันฮะ ส่วน AOT ถือมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ได้รับผลกระทบเยอะ แต่ก็ยังบวกหลาย 10% คิดว่าคง keep แบบนี้ไว้ก่อนครับ สนใจ ADVANC เหมือนกัน ติดแค่ว่าปริมาณการใช้อาจจะไม่เติบโต แค่เล่นกับราคา package ก็ไม่แน่ใจว่าจะเพิ่มได้ขนาดไหน แต่เป็น defensive ที่ดี และปันผลสูงดีครับ ส่วนตัวคงเทไป DCA ยูเอสมากกว่า SET ครับ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ไม่แน่ใจว่าจะถูก trend มั้ยครับ 🙂

  4. ผมก็คิดคล้ายๆ กันครับ :-)

  5. พี่โจ็กครับ ในมุมมองพี่โจ้ก CPALL ตอนนี้ น่าสนใจที่จะ DCA ไหมครับ ถ้าเทียบก้บ BJC ครับพี่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *