ช่วงโควิดที่ผ่านมายอมรับว่ามีความหวั่นไหวกับพอร์ต 7LTG อยู่เหมือนกัน
คือก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากกับพอร์ตนี้อยู่แล้ว เพราะช่วงหลังภาพของประเทศไทยมันดูแย่ลงมากเทียบกับวันที่เริ่มสร้างพอร์ตนี้ขึ้นมา แต่เราก็ยังคิดว่ามันน่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินได้อยู่
แต่พอช่วงโควิด อาการสาละวันเตี้ยลงทุกวันของ SET Index มันยิ่งส่งผลต่อความมั่นใจมากขึ้นไปอีก ยอมรับว่า มีบางโมเมนต์ที่ความคิดทำนองว่า หรือจะล้างพอร์ตนี้ทิ้งไปเลยดีมั้ย เคยผุดขึ้นมาด้วย แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ทำ (อาจจะเพราะช่วงนั้นขี้เกียจรึเปล่าก็ไม่รู้)
แต่ในที่สุด อยู่ดีๆ ในเวลาแค่สองเดือนที่ผ่านมาอยู่ๆ ข่าวดีก็แห่เข้ามา วัคซีนมา ทรัมป์ไป หุ้นขึ้นพรวดๆๆๆ เผลอแปล็บเดียว กลับมาสูงเกือบก่อนโควิดได้เลย (SET ลงไปเหลือแค่ 9XX จุด เมื่อต้นปี ตอนนี้กลับมา 1,482 แล้ว)
บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากเหตุการณ์นี้ ประการแรกคือ ราคาหุ้นขึ้นและลง มันส่งผลต่อความคิดของเราเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานได้มากจริงๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะความคิดของเราเกี่ยวกับพื้นฐานหุ้นควรจะมาจากสตอรี่ของธุรกิจ งบการเงิน ฯลฯ ไม่ใช่มาจากการขึ้นลงของราคาหุ้น จริงๆ เรื่องนี้เราก็รู้อยู่แล้ว (จอร์จ โซรอส เรียกว่า Reflexivity Theory) แต่เวลาเจอของจริง ความเป็นปุถุชน ก็ยังทำให้ยากที่เราจะไม่หวั่นไหวกับความลำเอียงนี้อยู่ดี
ประการที่สอง ตอนออกแบบพอร์ต เราตั้งใจสร้างให้มันเป็นพอร์ตที่ทนวิกฤตได้อยู่แล้ว โดยการเลือกแต่หุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตเท่านั้น และมีการกระจายความเสี่ยงที่มากพอ ช่วงโควิดก็เป็นเหมือนช่วงเวลาที่พอร์ตนี้ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง สุดท้ายแล้วมันก็เป็นพอร์ตที่ผ่านวิกฤตได้จริงๆ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือไม่ต้องทำอะไรเลย เคยลงทุนยังไงก็ลงทุนแบบเดิมต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไปเชื่อว่าตัวเองฉลาด รู้ดีว่าหุ้นจะลงต่อ แล้วขายหนีไป ก็คงกลายเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง
มนตราที่ว่า แล้วมันก็จะผ่านไป ยังคงใช้การได้อยู่เหมือนเดิม
(ปล.ใช้การได้กับพอร์ตที่ลงทุนแต่หุ้นพื้นฐานดี และมีการกระจายที่มากพอเท่านั้นนะ ไม่ได้ใช้การได้กับทุกสไตล์การลงทุน)