สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราซื้อหุ้นอะไรแล้วถือไว้ไม่ได้นาน คือ วิธีที่เรามองการลงทุนในหุ้น
ตอนเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ผมมักจะติดกับความคิดที่ว่า การซื้อหุ้นให้ได้กำไรคือ ซื้อหุ้นแล้วพอราคามันขึ้นไปมากๆ เราก็ขายออกมา แล้วก็จะได้กำไร
ในเมื่อเรามีมุมมองแบบนี้ พอหุ้นขึ้นไปมากๆ เราก็อดรนทนไม่ได้ ต้องขายออกมา เพื่อ “ล็อค”กำไร เอาไว้ ฯลฯ สุดท้ายแล้วก็จะถือหุ้นไม่ได้นาน เพราะถ้าไม่ได้ขายทำกำไร จะรู้สึกผิดอะไรบางอย่าง
ที่จริงแทนที่เราจะมีมุมมองกับหุ้นแบบนั้น เราน่าจะคิดว่า เราไม่ได้ซื้อหุ้น เพื่อที่จะทำกำไรส่วนต่าง แต่เราซื้อหุ้น เพื่อ “สะสม” Wealth ของเราไว้ในตราสารทางการเงิน ที่ให้ผลตอบแทนได้มากกว่าเงินสดในระยะยาว เราจึงมุ่งที่จะสะสมหุ้นให้เยอะขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องขายออกมาเพื่อ “ทำกำไร”
ก็ในเมื่อหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว แล้วเราจะขายหุ้นเพื่ออะไร ขายแล้วจะหนีไปไหน หนีไปหาเงินสด เพื่อให้เงินของเราทำงานให้เราน้อยลงอย่างนั้นหรือ ทำไมเราไม่คิดว่าจะเก็บความมั่งคั่งของเขาเอาไว้ในหุ้นให้ได้มากที่สุดและตลอดไป เพื่อให้เงินของเราทำผลตอบแทนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นั่นแหละถึงจะเป็นวิธีมองการลงทุนที่ถูกต้อง
ที่จริงทุกครั้งที่คุณ “ซื้อ” คุณจะกำไรหรือขาดทุน มันได้ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าตอนหลังคุณจะขายมันออกมาเพื่อทำให้กำไรเป็นจริง (realize gain) หรือทิ้งมันไว้ให้อยู่ในรูปของหุ้นต่อไปก็ตาม เพราะถ้าคุณซื้อธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม คุณคิดถูกแล้วตั้งแต่ตอนที่ซื้อ (หรือถ้าคิดผิดก็ผิดตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว) ถ้ากิจการนั้นไปไม่รอด การขายขาดทุนทิ้งออกมาตอนหลัง ก็ไม่ได้ช่วยอะไร ดังนั้นจะได้กำไรหรือขาดทุนไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณจะขายหรือไม่ขาย แต่เกี่ยวกับว่า ตอนที่คุณซื้อ มันเป็นการตัดสินใจที่ดีแค่ไหนมากกว่า
แน่นอนว่าเมื่อคุณซื้อไปแล้ว บางครั้งคุณคิดถูก บริษัทกำไรดีขึ้น แต่ราคาหุ้นกลับตกลง หรือบางครั้งราคาหุ้นก็ขึ้นสะท้อนผลกำไรเกินไปมากๆ ถ้าคุณไม่รีบขายออกมาก่อน คุณก็อาจจะรู้สึกเสียดายโอกาสที่จะทำกำไร Windfall เหล่านั้น ความคิดทั้งหลายเหล่านี้มักจะเป็นข้ออ้างให้หัวที่ทำให้เราขายหุ้นออกมาในที่สุด ถือหุ้นได้ไม่นาน แต่อันที่จริง การที่เรามีความคิดทำนองนี้อยู่ เป็นเพราะ เรามีทัศนคติทำนองว่า ราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในระยะสั้นเป็นเรื่องที่ทำนายได้ แต่ในความเป็นจริง ถ้าคุณลอง track ผลงานการทำกำไรระยะสั้นของคุณดู คุณจะรู้ว่า คุณไม่ได้ทำนายเก่งเลย แทนที่จะหวังกำไรที่เกิดขึ้นจากโชคช่วย แต่คาดการณ์ไม่ได้เหล่านั้น เราควรเลิกสนใจมัน และคิดว่า ราคาหุ้นในกระดานก็เป็นแค่ความคิดของคนอื่นๆ ในตลาดที่เกิดจากการคาดหวังของพวกเขา ซึ่งอาจจะตรงหรือไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจนั้นในอนาคตก็ได้ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา สิ่งที่เราควรจะ bet มากกว่าคือ ความคิดหรือการวิเคราะห์ของเราเอง เทียบกับผลประกอบการจริงของหุ้นตัวนั้นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าตรงหรือห่างกันแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับราคาที่คุณ “ซื้อ”ล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวกับราคาในกระดานหลังจากนั้นแต่อย่างใด
แน่นอนว่าทัศนคติแบบมองการซื้อหุ้นให้เป็นการ “สะสม” หุ้นให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ นั้น ไม่ใช่ทัศนคติที่เหมาะกับการเล่นหุ้นทุกสไตล์ แต่คนที่ควรจะมีทัศนคติแบบนี้ควรเป็นคนที่ซื้อแต่หุ้นที่มีพื้นฐานปานกลางขึ้นไปจนถึงดีเยี่ยมเท่านั้น ไม่สนใจธุรกิจแบบด้อยคุณภาพ ไม่สนใจหุ้นแนวกลับตัว และเป็นคนที่บริหารพอร์ตที่มีการกระจายหุ้นในระดับหนึ่งด้วยเสมอ เพราะคนที่ลงทุนแบบนี้ โอกาสที่จะเสียหายรุนแรงเพราะไม่ขายหุ้นนั้นมีน้อยมากๆ จึงสามารถคิดว่าการซื้อหุ้นเป็นการสะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ ได้ นี่ไม่ได้หมายความว่า ถ้ามีวิกฤตการเงินเกิดขึ้นแล้ว พอร์ตของพวกเขาจะไม่ลงอย่างรุนแรง แต่หมายความว่า ต่อให้ลงรุนแรง แต่เมื่อเมฆฝนผ่านไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ขายหุ้นเพื่อหนีวิกฤตเลย พอร์ตก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้อีก เพราะพอร์ตของธุรกิจที่ดีจำนวนมาก ย่อมกลับมาได้เสมอ ตราบใดที่ประเทศนั้นยังต้องการผู้ผลิตสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อการดำรงชีวิตของพลเมืองในประเทศนั้นอยู่
จะต้องกลัวอะไรถ้าหากไม่ได้ล้างพอร์ต สะสมความมั่งคั่งของเราให้อยู่ในรูปของตลาดสารที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในระยะยาวให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
การสะสมหุ้นให้มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่าห้ามขายหุ้นอะไรเลย ถ้าหากหุ้นในพอร์ตบางตัวมีโอกาสเติบโตน้อยลง เห็นตัวอื่นที่ดีกว่า ถูกกว่า จะสลับตัวบ้างก็ได้ แต่ทำไปเพื่อปรับปรุงพอร์ตของเราให้แข็งแรงขึ้น ต้นทุนถูกลง ไม่ใช่ขายด้วยเหตุผลว่าต้องการจะได้กำไร
สุดท้ายคือความคิดของเราในตอนที่ซื้อหุ้น ควรถามตัวเองว่า หุ้นนั้นดีพอที่เราจะกล้าซื้อ ณ ราคานั้น แล้วไม่ขายอีกเลยหรือไม่ (ภายใต้สถานะที่เรามีหุ้นดีๆ หลายๆ ตัวในพอร์ตด้วยนะ ไม่ใช่มีหุ้นตัวนั้นแค่ตัวเดียวทั้งพอร์ต) ถ้าหากคำตอบคือ ไม่ ก็ยังไม่ควรจะซื้อหุ้นตัวนั้น แต่ถ้าจะซื้อ ก็ไม่ต้องคิดเรื่องลงทุน ไม่ต้องคิดเรื่องถือยาว ไม่ต้องผูกพัน ไม่ต้องคิดว่าเป็นการสะสม เพราะว่าเรา “ซื้อ” เข้ามา ในราคาที่ซื้อไม่ได้ครับ
ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆบทความนี้ครับ ^_^
มิน่า ซื้อๆขายๆ ถึงเสียดายของตลอด
ขอบคุณมากครับผมชอบบทความนี้มากถ้าทำได้อย่างนี้รวยอย่างเดียวแล้วก็ตื่นเต้นมากเวลาที่ตลาดผันผวนแต่ถ้ามันใจในหุ้นที่ซื้อไว้แต่แรกว่าดีก็ไม่ต้องใจเดี๋ยวมันกํกลับมาดีกว้าเก่าอีก
ติดตามเรื่อยๆๆๆ ครับ
เป็นบทความดี ๆ ที่ย้ำเตือนสติได้ดีครับ ขอบคุณครับพี่
ลึกซึ้งมากครับบทความนี้ ชอบมากครับ
งบซีพีออลออกแล้วไม่ดีตามคาด เราควรจะพิจารณาถือต่อหรือไม่ค่ะ
cpall กำไรสุทธิ yoy ไม่น่าจะดีอยู่แล้วนะครับ เพราะหลังจากกู้เงินมาซื้อแมคโคร ดอกเบี้ยจ่ายก็เพิ่มขึ้นเยอะมาก ฉุดกำไรลง ไม่น่าเป็นอะไรที่ผิดคาดของตลาดครับ
ถ้าจะโชว์กำไรดีๆ เร็วๆ ก็ต้องเพิ่มทุนเพื่อลดหนี้ แต่ทำอย่างนั้น ผู้ถือหุ้นก็ suffer บริษัทผลิตเงินสดได้เยอะอยู่แล้ว เอากำไรเงินสดที่ได้มาค่อยๆ ลดหนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องเพิ่มทุนน่าจะดีกว่า
ไม่รู้ว่าจะช่วยให้หวั่นไหวน้อยลงได้รึเปล่า ลองอาจผลวิจัยอันนี้ดูครับ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1415774630
ขอบคุณครับ
บทความอย่างนี้สิ ที่คอยเตือนสตินักลงทุนอย่างผมให้คอยอยู่กับร่องกับรอย ที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเล่มใด เยี่ยมยอด ขอบคุณครับ
มีมุมมองต่อธุรกิจของ THREL ในอนาคตอย่างไรบ้างครับ เริ่มเห็นผลการบันทึกการขาดทุนจาก สินค้าร่วมพัฒนาโครงการที่ได้ปิดไปแล้ว รายงาน Q3/57 ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ขอบคุณครับ
ผมยังไม่มีรายละเอียดเรื่องสินค้าร่วมพัฒนาโครงการว่าเป็นอะไร แต่คิดว่าภาพระยะยาวของ THREL ก็ยังไม่ต่างจากเดิมมาก คือ ฐานยังเล็ก จึงยังมีโอกาสโตได้อยู่
ชอบมากครับ ดูแล้วน่าทำได้ไม่ยากแค่ถือแล้วไม่ขายหากยังเติบโตได้ แต่มันขัดกับความรู้สึกของคนอย่างมาก กลัวว่าไม่ขายเดี๋ยวอาจจะกลับมาขาดทุนเลยรีบขายก่อนดีกว่า สุดท้ายก็ได้ผลตอบแทนที่ไม่มากเท่าที่ควรจะได้ เรื่องที่ดูง่ายมากง่ายกว่าตอนจะเลือกหุ้นที่จะลงทุนอีก แต่ทำได้ยากมากๆๆๆ ถ้าผ่านจุดนี้ได้ก็รวยได้ไม่ยาก
อยากขอความคิดเห็นThrel ด้วยครับ ว่ายังมีมุมมองเช่นเดิมหรือไม่ครับ หลังจากงบ Q3 แย่กว่าคาดการ ขอบคุณครัล
ผมเห็นพิมพ์ “ตลาดสารทางการเงิน” จริงๆแล้วคือ ตราสารทางการเงิน หรือเปล่าครับ
ตามที่ท้วงมาครับ ขอบคุณมาก
ผมว่าคนส่วนใหญ่ที่เล่นแบบลงทุน แล้วขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นสูงผิดปรกติ ก็หวังจะกลับมาซื้อคืน เมื่อราคาปรับตัวลง
แต่ปรากฎว่า
บางตัวไม่กลับมา ต้องไปซื้อคืนแพงขึ้น
บางตัวกลับมาแล้ว ไม่รู้จะซื้อราคาไหนดี แล้วไม่ได้ซื้อ
ขอสรุปว่า สนับสนุนแนวทาง 7thltg ของคุณโจ๊ก แต่ปีนี้ ถือว่าเป็นช่วงพักร้อน
ผลตอบแทนปีนี้ ที่ด้อยกว่าพวกนักเทคนิค ถือเป็นเรื่องระยะสั้น เป็นยุคทองของนักเก็งกำไร เนื่องจากเงินกองทุนจาก ตปท ยังไม่เข้ามารบกวน เป็นช่วงไทยเที่ยวไทย แมงเม่ากับเจ้ามือโซ้ยกันเอง
การแบ่งเงินมาเล่นหุ้นปั่นแปะบ้าง ถือเป็นรสชาติของชีวิต โต๊ะจีนนี้ ไม่ได้กินฟรี เมื่อรับประทานพออิ่มแล้ว ก็รีบเช็ดปากแล้วลุกไป อย่ารอกินของหวาน เด๋วจะเผลอนั่งจนกลายเป็นคนสุดท้าย
ปีนี้ 7thLTG แพ้นักเทคนิคเยอะหรือครับ แล้วนักเทคนิคเฉลี่ยๆ ปีนี้เขาได้กันเท่าไรหรือครับ?
เอาตัวที่เขาเอามาคุยว่ามีกำไร หารกับตัวที่ไม่เอามาคุย
ผมว่าน่าจะมีกำไรที่ 30 – 40 %
การลงทุนสไตล์กึ่ง passive คาดหวังผลตอบแทนสูงมากไม่ได้อยู่แล้ว เพราะ effort และเวลา ที่เราใช้ไปกับมันน้อยกว่ามาก
แต่ต่อให้เป็นเทรดเดอร์ก็ตาม เอาเข้าจริงๆ โอกาสจะได้ผลตอบแทนที่ดีๆ นั้น มีน้อยคนมากที่จะทำได้ ส่วนใหญ่แล้วจะผิดหวังมากกว่า (คนตายไม่ได้พูด)
ลองสังเกตจากการแข่งขันเทรดดิ้งก็จะพอรู้ อย่างเมื่อปีที่แล้ว คนแข่ง 40 คน ที่คนที่ชนะดัชนีแค่ได้ 2 คนเท่านั้น อันนี้เป็นผลงานของจริง ที่หลอกหรือโม้กันไม่ได้ เพราะเป็น contest ครับ
http://thestockmaster.bualuang.co.th/?/leaderboard/season/2/
ปีนี้ผมกำลังรอดูผลงานอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นแบบเดิมอีกรึเปล่า เวลาเราได้ยินเทรดเดอร์ได้ผลตอบแทน เราจะได้ยินแค่ 2 คนที่ได้กำไรสูงสุดเท่านั้น อีก 38 คนไม่พูดครับ
ขอฟังความเห็นของคุณนรินทร์ว่า ธุรกิจ ที่ เป็น snowball ควรมีลักษณะอย่างไรบ้างครับ
อยู่ในธุรกิจที่ตลาดมีโอกาสใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต และบริษัทสามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก
ตย. ของบทความนี้ วอรเรน บัฟเฟต์ น่าจะเป็น ตย.ที่สุดโต่งที่สุดนะครับพี่โจ๊ก … ของไทยก็ ดร.นิเวศน์ เห็นแหถือตัวหใญ่ที่มี นน.ในพอรต์เยอะๆอย่าง CPALL และตัวอื่นๆโดยไม่ขายหนีวิกฤติเลย ^^
อยากรู้ว่า MCOT จะน่าลงทุนเพิ่มอีกไหมครับ คู่แข่งมากขึ้น แถมการผูกขาดก็ลดลง
นั่นสิครับ ผมว่าดูแล้วแชร์คนดูของช่องเก้าน่าจะมีแต่ทางลดลงมากกว่าจะเพิ่มขึ้นครับ
สวัสดีครับ สมัครเข้ามาใหม่ครับ
กลับมาอ่านอีกทีแล้วโดนใจมากๆเลยครับพี่โจ๊ก ขอบคุณครับ