ลักษณะธุรกิจของ OTO ดูน่าสนใจ เพราะทุกวันนี้บริการหลังการขายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการทำธุรกิจ และการ outsource คอลเซ็นเตอร์ ก็ช่วยประหยัดต้นทุน ตลอดจนทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถมี Call Center ให้ลูกค้าได้ โดยไม่ต้องลงทุนสูงนัก
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี แสดงให้เห็นถึงการที่ตลาดยังอยู่ใน growth phase และก็น่าจะยัง เป็นเช่นนี้ต่อไปอีก ในอนาคตด้วย และปัจจุบัน OTO ก็สร้าง Top-line growth ได้สูงกว่าอุตสาหกรรม ซี่งเป็นสัญญาญที่ดีในแง่ของส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะสร้างการประหยัดต่อขนาดและข้อได้เปรียบคู่แข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ก็มีจุดด้อยที่สำคัญคือ การที่จะต้องลงทุนสินทรัพย์ถาวรล่วงหน้า ทั้งการจ้างคนเพิ่ม จัดหาสถานที่ขยายงาน การซื้ออุปกรณ์ไอทีต่างๆ ถ้าได้ออเดอร์ 10 ค่อยขยาย 10 จะไม่คุ้มต้นทุน เทียบกับได้ออเดอร์ 10 ขยาย 20 หรือ 40 ไว้รองรับอนาคต จะประหยัดต้นทุนต่อหน่วยได้มากกว่า ทำให้ธุรกิจนี้เวลามีรายได้เพิ่มขึ้นมากๆ ต้นทุนจะสูงขึ้นเร็วกว่าในระยะแรก ทำให้กำไรลด ซึ่งการประหยัดจะเกิดขึ้นภายหลัง ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นตาม แต่การที่บริษัทยังโตอยู่เรื่อยๆ ก็อาจจะต้องขยายล่วงหน้าไปเรื่อยๆ ทำให้กำไรดูผันผวน ธุรกิจจะดูมีกำไรดี ก็ต่อเมื่อโตเต็มที่ แล้วถึงเวลานั้น หุ้นก็อาจไม่น่าสนใจอีก เพราะว่ารายได้ไม่โต
การที่ธุรกิจมี Fixed Cost มากยังทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาสูงอีกด้วย เพราะคู่แข่งทุกคนก็อยากจะได้โวลุ่มมากๆ เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากกว่าคนอื่น การดัมพ์ราคาเพื่อให้ได้ดีลจึงเกิดขึ้นง่าย ทำให้มาร์จิ้นของธุรกิจไม่สูงนัก แม้ว่าจะมีลู่ทางเติบโตที่ดีก็ตาม
งบการเงินของ OTO มีส่ิงที่นักการเงินไม่ชอบมากๆ คือ การที่สินทรัพย์จำนวนมากของบริษัทเป็นลูกหนี้การค้า ราวกับว่าสินทรัพย์ของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในใบแจ้งหนี้ มากกว่าตัวตึกเสียอีก สะท้อนโมเดลธุรกิจที่มีรอบเงินสดที่ไม่ดี เงินจมอยู่ใน Working Capital และยิ่งโตก็ย่ิงจะต้องหาเงินมาลงทุนใน Working Capital มากขึ้นอีก ไม่ใช่ธุรกิจเงินสด น้ำซึมบ่อทราย
สรุปแล้ว ดูเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตดี แต่ปัจจัยพื้นฐานไม่น่าสนใจนัก
ปล.ภาพประกอบจาก tmcnet.com
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ