ได้ฟัง Oppday ของ ICHI ไตรมาสล่าสุด มีคนถามคุณตันว่า “ช่วงนี้ชาเขียวไม่ดีเลย มีความคิดจะเพิ่มธุรกิจร้านอาหารบ้างมั้ย”
คุณตันตอบว่า “ไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ตัดสินใจมาตั้งแต่วันแรกที่ตั้งบริษัทแล้วว่าจะทำแต่เครื่องดื่ม เพราะธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่ Labor intensive มาก การทำยอดขายให้ได้หนึ่งพันล้านบาท ถ้าเป็นชาเชียวใช้คนแค่หยิบมือควบคุมเครื่องจักรที่ทำงานอัตโนมัติ แต่ธุรกิจอาหารไม่ใช่ ยอดขายหนึ่งพันล้านต้องใช้คนงานเป็นร้อยๆ คน”
ประเด็นที่ผมสนใจคงไม่ได้อยู่ที่ชาเขียวกับร้านอาหารธุรกิจไหนดีกว่ากันแน่ แต่สิ่งที่ทำให้มองเห็นได้คือ เรื่องการมองธุรกิจยังมีอะไรหลายอย่างที่บอกไม่ได้ด้วยการวิเคราะห์แค่งบการเงิน งบการเงินอาจจะบอกว่าบริษัทนี้รายได้เท่าไร กำไรเท่าไร แต่ไม่ได้บอกว่า ที่สามารถทำรายได้ได้เท่านั้นเท่านี้ทั้งที่ใช้สินทรัพย์เท่านั้นเท่านั้น ต่างกับอีกธุรกิจหนึ่งที่ทำรายได้ได้เท่ากันแต่ใช้สินทรัพย์ต่างกันนั้น เพราะว่าอะไร
เรื่องนี้ทำให้นึกไปถึงธุรกิจอย่าง Beauty ซึ่งมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมมากใช้ช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าหากจะให้ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน แล้วให้ผมทำนายว่า Beauty จะเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีหรือไม่ในอีกห้าปีข้างหน้านั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจะหาคำตอบว่า Beauty กับ Kamart ตัวไหนมีอนาคตมากกว่ากัน) บอกได้เลยว่า ผมแยกไม่ออก บอกไม่ได้ เพราะเราไม่รู้อะไรอีกหลายอย่างที่ไม่อยู่ในงบการเงิน ไม่รู้ว่าสินค้าของเขาดีแค่ไหน เพราะเราไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายของเขา และบางทีความรู้เหล่านั้น ก็สำคัญมากในการมอง เรียกได้ว่าเป็น key success factor ของธุรกิจเลยด้วยซ้ำ