ในวิชาการทางด้านการพนัน มีศัพท์เทคนิคอยู่คำหนึ่งคือคำว่า Parimutuel
การพนันบางอย่างเป็นการพนันแบบ Parimutuel หมายความว่า คุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณแทงถูกหรือไม่อย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีคนอื่นที่แทงถูกเหมือนคุณมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าคุณแทงถูก แต่คนส่วนใหญ่ก็แทงเหมือนกับคุณ อัตราต่อรองจะถูก bid ขึ้นไปสูงเสียจนคนที่แทงถูกแทบจะไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลย ตัวอย่างของการพนันแบบ Perimutuel ก็คือ ม้าแข่ง รวมถึงการพนันฟุตบอลแบบที่อัตราต่อรองไหลไปเรื่อยๆ ด้วย
ที่พูดถึงคำๆ นี้ก็เพราะอยากจะบอกคุณว่า ตลาดหุ้น ก็มีลักษณะเป็น Parimutuel ด้วย การเลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุด ยังไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ เพราะถ้าหากนักลงทุนคนอื่นๆ ในตลาดก็รู้เหมือนกับคุณ ราคาหุ้นจะ bid ขึ้นไปจนเกินพื้นฐานเสมอ การซื้อหุ้นเหล่านั้นที่ราคาเกินพื้นฐานจึงทำให้ขาดทุนมากกว่าที่จะกำไร ทั้งที่หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดี
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเปรียบกับคณิตศาสตร์ก็เหมือนเป็นสมการสองชั้น นอกจากกิจการที่ลงทุนจะเป็นกิจการที่พื้นฐานดีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดจะต้องยังไม่เห็นความดีนั้นด้วย มิฉะนั้นลงทุนไปก็ไม่ได้อะไร เพราะราคาหุ้นที่ลงทุนจะไม่ถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของมัน
ในตลาดหุ้น หุ้นที่เป็นหลุมพรางของนักลงทุนจึงได้แก่หุ้นของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นการทั่วไปในตลาดว่ากิจการของหุ้นดีมากเสียจนหาข้อเสียใดๆ ไม่ได้เลย ปกติแล้วหุ้นทุกตัวในตลาดจะมีข้อเสียบางอย่างอยู่ ข้อเสียคือสิ่งที่ช่วยทำให้ราคาหุ้นมีแนวต้าน เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวใดก็ตามในตลาด สามารถสร้างสตอรี่เพื่อแก้ต่างจุดอ่อนที่อยู่ในความรู้สึกของนักลงทุนทั่วไปในตลาดได้หมดทุกจุด ราคาของหุ้นตัวนั้นก็จะทะยานขึ้นทันทีอย่างกับติดเทอร์โบเนื่องจากหุ้นตัวนั้นจะไม่มีอะไรเป็นแนวต้านอีกต่อไป โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานของหุ้นจะไร้ที่ติขนาดนั้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แค่ไร้ที่ติในความคิดของนักลงทุนทั่วไปในตลาด ราคาหุ้นก็จะไร้แนวต้านทันที
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็น “หุ้นจรวด” เหล่านี้อยู่เป็นระยะๆ โดยมากแล้วมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆ หุ้นบางตัวจะถูกมองและเชียร์กันบ่อยๆ ว่าเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในตลาดที่ธุรกิจของมันจะไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากเรื่องที่ทุกคนกำลังกังวลอยู่นั้น เมื่อกระแสจุดติด ราคาของหุ้นเหล่านี้จะวิ่งเร็วยิ่งกว่าติดเทอร์โบกลายเป็นว่าวที่ติดลมบน ยิ่งเรื่องที่ตลาดกังวลทำให้ดัชนีปรับตัวลงมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นสวนตลาดมากขึ้นไปอีก เมื่อราคาหุ้นแข็งมาก นักลงทุนส่วนหนึ่งจะเข้ามาหลบภัยในหุ้นตัวนั้นเพื่อให้พอร์ตของตัวเองชนะตลาด ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นยิ่งแข็งขึ้นไปอีกเป็นปฏิกิริยาย้อนกลับในเชิงบวก ความที่ราคาหุ้นไม่ลงเลย ทำให้ยิ่งมีนักลงทุนที่อยากเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นหุ้นแต่ถือแล้วสบายใจยิ่งกว่าพันธบัตร เวลานี้ฟองสบู่ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว
การซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนั้นเป็นเรื่องอันตรายที่สุด ราคาหุ้นอาจแข็งแกร่งอยู่อย่างนั้นได้เป็นปีๆ แต่ในวันที่ทุกอย่างปรากฏขึ้นมาว่ากิจการของหุ้นนั้นดีจริง แต่ไม่ดีมากขนาดที่จะ justify ราคาหุ้นที่สูงลิ่วขนาดนั้นได้ หุ้นมักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงม้วนเดียวจบจนตั้งตัวไม่ทัน พูดง่ายก็คือตัวใครตัวมันล่ะครับ (the party is over)
ในตลาดหุ้น หุ้นที่ห้ามซื้อเด็ดขาดจึงได้แก่ หุ้นที่ไม่มีข้อเสียใดๆ เลย เหมือนการแท้งม้าตัวที่ทุกคนเชื่อว่าจะเข้าวินจะไม่ได้ประโยชน์อะไร วิธีการเล่นหุ้นแบบหนึ่งที่จะล้มเหลวเสมอคือ ซื้อหุ้นที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ “ซื้อ” เพราะเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนในตลาดเห็นด้วยว่าดีแล้ว ย่อมไม่เหลือใครในตลาดอีกที่อยากได้หุ้นตัวนั้น แต่ยังไม่ได้ซื้อ หุ้นจึงแทบไม่เหลือแรงส่งขึ้นไปได้อีกแล้ว นอกจากรอเวลาที่จะร่วงลงมาเมื่อใครสักคนที่มีหุ้นนั้นเริ่มอยากขายทำกำไรออกมา
นักลงทุนที่ดีต้องทำตัวเหมือนคนที่ยึดอาชีพเป็น “แมวมอง” แมวมองเลือกที่จะทุ่มให้กับคนที่ยังไม่ดังแต่มีแววว่าจะดังเท่านั้น เมื่อคนนั้นกลายเป็นคนดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน แมวมองก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากความ “ตาถึง” ของเขา ในขณะที่ “คนดู” สนใจกันแต่ดาราที่ดังแล้ว ยิ่งดังเท่าไรยิ่งชอบ คนดูจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินตลอด (ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าตั๋วหนัง ฯลฯ) หุ้นที่น่าลงทุนกว่าคือหุ้นที่ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีอยู่ แต่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในอนาคต ถ้าเราเลือกซื้อแต่ดอกไม้ที่มีคนคัดมาให้เราแล้วเราจะได้ดอกไม้ที่ดีก็จริง แต่เราจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้คนคัดดอกไม้เสมอ สู้ทำตัวเป็นคนคัดดอกไม้ในตลาดหุ้นไม่ดีกว่าหรือครับ จบข่าว
มุมมองสุดยอดจริงๆ ครับ
CPALL จะเป็นแบบนี้ไหมเนี่ย เสียว