on Active Investing #4

หุ้นที่เราอยากได้เข้าพอร์ตคือหุ้นของธุรกิจที่ 1.) ปัจจัยพื้นฐานดีพอสมควร 2.) ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก และ 3) ราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไป

หุ้นที่น่าถือลงทุนที่สุดคือ หุ้นเติบโต เพราะในระยะยาว กำไรที่ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มูลค่าของกิจการเพิ่มขึ้นได้ โดยที่เราไม่ได้ทำอะไร แค่ถือมันไว้เฉยๆ หุ้นปันผล กลับไม่ใช่หุ้นที่น่าถือไว้ในระยะยาว เพราะแม้ว่าจะได้ปันผลสูงกว่าตลาด แต่ถ้าหากธุรกิจไม่โตขึ้น กำไรก็ไม่เพิ่มขึ้นในระยะยาว เงินปันผลก็ไม่เติบโต ถ้าหากเราได้เงินปันผลปีละ 4-5% อาจมองว่าสูงกว่าพันธบัตรก็จริง แต่ถ้าราคาหุ้นไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เพราะว่ากำไรไม่โต ก็ไม่คุ้ม เพราะการลงทุนในหุ้นนั้น เราต้องได้ผลตอบแทนอย่างน้อย 10% ต่อปี จึงถือว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เราต้องแบกรับ และลำพังผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างเดียว แทบไม่มีทางบรรลุเป้าหมายนี้ได้เลย

หุ้นเติบโตที่ดีไม่ได้หมายถึงมีอัตราการเติบโตสูงๆ ตรงกันข้าม หุ้นที่กำไรเติบโตสูงมากๆ เช่น 50-100% มักไม่ใช่การเติบโตที่ยั่งยืน เราไม่ได้ต้องการหุ้นที่เติบโตสูงๆ แต่เราต้องการหุ้นที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่องมากกว่า ส่วนใหญ่แล้ว บริษัทที่โตปีละ 10-20% มักรักษาอัตราการเติบโตให้สม่ำเสมอได้มากกว่าบริษัทที่โตปีละ 50-100% เราจึงควรมองไปที่ความยั่งยืนของอัตราการเติบโตมากกว่าขนาด

ไหนๆ จะลงทุนระยะยาวแล้ว ต้องกล้าคิดให้ไกลหน่อย หุ้นบูลชิพซึ่งธุรกิจมั่นคงแต่โตได้แค่ปีละ 5% ไม่ใช่หุ้นที่เราควรจะถือลงทุนระยะยาว เราควรจะหวังได้อย่างน้อยว่าหุ้นนั้นจะสร้างกำไรให้เราได้เท่าตัว ถึงจะเรียกว่ามี upside มากพอที่เราจะยอมถือลงทุน หุ้นเหล่านี้อาจมีไม่มากนักในตลาด แต่ถ้าเราสามารถหาได้ 4-5 ตัว เราก็สร้างพอร์ตเติบโตของเราได้แล้ว จงโฟกัสพอร์ตระยะยาวของเราแต่กับหุ้นเหล่านี้  อย่าเสียเวลากับหุ้นประเภทอื่นๆ หรือถ้าจะซื้อหุ้นประเภทอื่น ก็ไม่ต้องคิดเรื่องถือระยะยาว

หุ้นเติบโตจะค่อนข้างอ่อนไหวกับอารมณ์ตลาด เพราะมูลค่าของมันขึ้นกับอนาคตค่อนข้างมาก แต่ให้เราพยายามอดทน อย่าตกใจง่ายๆ กับความผันผวนในระยะสั้น ความผันผวนไม่ใช่ความเสี่ยงของนักลงทุนระยะยาว เพราะว่าเราไม่ได้ซื้อขายหุ้นบ่อยๆ อยู่แล้ว หุ้นที่ผันผวนสูงแต่วิ่งไปได้ไกลกว่าในระยะยาวเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่าหุ้นที่ผันผวนต่ำแต่กี่ปีกี่ปีก็ไม่ไปไหน

ลองนึกถึงเมกกะเทรนด์ในปัจจุบันว่ามีอะไรบ้าง และมีธุรกิจไหนบ้างที่ได้รับประโยชน์ เพื่อมองหาหุ้นเติบโต และในเวลาเดียวกัน ลองพิจารณาดูด้วยว่า บริษัทเหล่านั้นมีข้อได้เปรียบคู่แข่งอะไรบ้าง บริษัทที่ดีต้องอยู่ในเมกะเทรนด์ และมีข้อได้เปรียบคู่แข่งที่ค่อนข้างเด่นชัด จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้

ตลาดหุ้นไทยมีช่วงที่ตกหนักทุกปี อย่างน้อยก็ปีละ 1-2 ครั้ง จึงไม่ต้องรีบร้อน การซื้อหุ้นเติบโตในระยะยาวในช่วงที่ภาวะตลาดในระยะสั้นไม่ดี ย่อมเป็นโอกาสที่ดีกว่าการซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วงที่ทุกคนกำลังมั่นใจ  

CategoriesDG

30 Replies to “on Active Investing #4”

  1. พอร์ตที่เติบโตต้องมาพร้อมความพร้อมของนักลงทุนด้วย

    ไม่ตกใจล้างพอร์ตตอนที่ราคาลง และมีข่าวร้ายยาวนาน

    จน ทำให้ไม่ค่อยมีใครถือหุ้นดีๆได้ยาว

    ขอบคุณสำหรับบทความครับ

  2. ขอบคุณครับ…ชอบบทความ on active investing จริงๆ ครับ ตรงกับแนวทางการลงทุนของผมมากๆ

  3. ขอบคุณครับ
    เมกกะเทรนด์ในความเข้าใจของผม น่าจะเป็น สังคมของผู้สูงอายุ. การเดินทางท่องเที่ยว. โมเดิร์นเทรด

    อยากให้คุณนรินทร์เขียนบทความเกี่ยวกับเมกกะเทรนด์อีกสักครั้ง
    นึงครับ

    1. ถ้าเขียนตอนนี้ก็คงยังไม่ต่างจากบทความเก่ามากนัก เพราะว่าเมกกะเทรนด์ไม่ใช่อะไรที่เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อย่างที่ว่ามาก็ใช่ทั้งสิ้นครับ

  4. ที่ว่าตลาดหุ้นไทยจะมีช่วงตกหนักปีละครั้งสองครั้ง ถ้าเช่นนั้น ผมเก็บเงินไว้ลงทุนแค่ช่วงดังกล่าวเท่านั้น กล่าวคือทั้งปีซื้อหุ้นแค่ปีละครั้งสองครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ก็รอๆ ไป พี่นรินทร์คิดว่าวิธีการแบบนี้จะได้ผลดีแค่ไหนครับ แล้วถ้าเทียบกับวิธี DCA จะมีผลดีกว่ากันมั้ยครับ

    1. มันตอบไม่ได้ว่าวิธีไหนดีกว่า เพราะต่างมีข้อดีและข้อเสียครับ เพราะว่าการรอนั้น อาจจะไม่ได้อย่างที่รอเสมอไป จึงมีความไม่แน่นอนตรงนี้อยู่ ส่วน dca นั้น ไม่ต้องรอ ไม่ต้องเก็ง แต่ผลตอบแทนก็อาจจะได้ไม่มากเท่ากับกรณีที่เกิดรอแล้วตลาดหุ้นตกหนักจริงๆ

      เลยต้องอยู่ที่ risk preference ของแต่ละคน ว่ายินดีรับข้อดีและข้อเสียของวิธีไหนมากกว่ากัน

  5. เห็นด้วยที่ต้องมาพิจารณาหุ้นที่สามารถเติบโตได้ 10-20%ในหลายๆปี ดีกว่าหุ้นที่โกรทแบบทันด่วน หรือ หุ้นปันผลที่ไม่มีการเติบโตครับ. ผมก็กันเงิน รอจังหวะลงทุน หลักๆจาก2ปัจจัยเช่น ช่วงที่ตลาดตกใจ กับ ช่วงที่บริษัทประสบปัญหา ครับ. ผลที่ได้ น่าพอใจ ไม่ถึงขนาดเป็นเด้ง (แต่ถือหลายๆปีก็เด้งนะครับ ^ ^)

  6. อยากให้เขียน ถึงหุ้นในเมกกะเทรนด์ต่างๆ และเปรียบเทียบจุดแข็ง-จุดอ่อน ของหุ้นในเมกกะเทรดนั้นๆครับ แยกเป็นตอนๆ

    เช่น เมกกะเทรนด์ เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ
    กลุ่มแรกโรงพยาบาลเอกชน BGH BH ฯลฯ จุดแข็งจุดอ่อน ของแต่ละบริษัทในกลุ่มโรงพยาบาล เปรียบเทียบกัน

    แบบนี้ก็เขียนได้อีกหลายตอนเลยครับพี่ … และแน่นอนว่าไม่ใช่การเชียร์หุ้นรายตัว เพราะเขียนเป็นภาพรวมของแต่ละบริษัทในเมกกะเทรนด์ย่อยๆต่าง

    ขอบคุณมากๆครับ พี่ ^^

    1. เมกกะเทรนด์นี่เขียนบ่อยแล้วเหมือนกัน ไม่อยากฉายหนังซ้ำ เพราะคิดว่าเมกกะเทรนด์เดิมก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนักนะครับ

  7. หุ้น auct คุณนรินทร์ มองว่าเป็นหุ้น growth ได้ไหมครับ เพราะดูแล้วตลาดน่าจะยังโตได้อีก และยังออกไปขยายในต่างประเทศได้อีกด้วย แต่ที่ต้องระวังคือคู่แข่งที่จะเข้ามาในตลาดนี้ครับ ขอบคุณครับ

    1. น่าจะยังได้ครับ การขายรถผ่านระบบประมูลยังเป็นเรื่องที่ไม่ใช่คนไทยทั่วไปทำกัน จึงน่าจะยังมีโอกาสโตได้อีกครับ

      นอกจากระวังเรื่องคู่แข่งแล้วก็ระวังเรื่องราคาหุ้นสูงด้วย

  8. ผมลงทุนในแนว 7thltg อยู่มานานประมาน 2 ปีแล้วครับ ซึ่งเป็นหุ้นเติบโตตามที่พี่แนะนำเลย ซึ่งไปได้สวยครับผม แต่ตอนนี้มีโจทย์ที่อยากโฟกัสกับการหา passive income ในตลาดหุ้น ซึ่งผมมองแล้วการลงทุนแบบ 7thltg นั้น ถ้าจะหวัง passive income จากเงินปันผล อาจจะไม่ใช่คำตอบเพราะทั้งหมดเป็นหุ้นเติบโต ตามที่พี่เขียนไว้ด้านบน
    ดังนั้นพี่สุมาอี้มีคำแนะนำไหมครับกับวิธีการหา passive income จากตลาดหุ้นนี้ครับ ขอบคุณมากครับ

    1. ถ้าถามความเห็นผม ถ้าเราลงทุนแบบถือยาว ยังไงๆ เราก็ต้องซื้อหุ้นเติบโต ต่อให้หวังเงินปันผล ก็ต้องเป็นการเติบโตของเงินปันผลอยู่ดี เพราะถ้าหุ้นไม่เติบโต เราจะถือนานๆ ไปเพื่ออะไร ไม่ได้อะไรเลย ถ้ากำไรไม่โต ขายทิ้งแล้วกลับมาซื้อใหม่เมื่อไรก็ได้ ราคาหุ้นมันไม่ได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว

      ถ้าหากพอร์ตที่เราลงทุนเป็นหุ้นเติบโต แล้วเราอยากได้เงินปันผลเยอะหน่อย เช่น 5% เราก็แค่กำหนดไว้ว่าปลายปีเราจะขายออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้ได้เป็น passive income เช่น 3% หรือ 5% แล้วแต่ที่เราต้องการได้เลย

      หุ้นปันผลมากหรือน้อยจริงๆ แล้วเป็นเรื่องหลอกตา เพราะผู้บริหารอยากปันเท่าไรก็ได้ ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการ ถ้าปันออกมาน้อย ก็คือ บริษัทเลือกเก็บเงินไว้ลงทุนต่อในบริษัทมาก เพื่อให้เงินปันผลในอนาคตมีโอกาสเพิ่มขึ้น

  9. หุ้นรัฐวิสาหกิจหลังจากมีบอร์ดบริหารใหม่น่าลงทุนหรือเปล่าครับ
    เช่น AOT ถ้าถือยาวจะดีใหมครับ

    1. บอร์ดก็คงต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อีกครับ ยกเว้นว่าคสช.จะอยู่ตลอดไป

  10. คุณนรินทร์ครับ

    ผมมีข้อเสนอแนะครับ

    ทำไมคุณนรินทร์ไม่เขียนวิเคราะห์เจาะลึกทุกบริษัทในตลาดหุ้นไทย
    (ที่ยังไม่เคยเขียน)ไปเลยครับ (ได้ยินมาว่าไม่รู้จะเขียนอะไรต่อ)

    O_O

    1. ทำอะไรมานานๆ ก็อิ่มตัวนะครับ มันขาดแรงบันดาลใจมากกว่า อยากเจียดเวลาไปหาอะไรใหม่ๆ ให้ตื่นเต้นกับสิ่งที่ทำ ทำ การ maintain บล็อกการลงทุนให้ได้สม่ำเสมอ และบทความมีคุณภาพมากพอ นั้นเป็นอะไรที่ต้อง devote เวลามากพอสมควร เลยจำเป็นต้องลด commitment ลง เพื่อให้มีเวลาไปลองทำอย่างอื่นได้ครับ

      ลด commitment ลง แต่ก็ยังเขียนอยู่ เพียงแต่ไม่ต้องแบกรับความคาดหวังมากเกินไป

  11. ส่วนตัวคุณนรินทร์ชอบการลงทุนแบบ passive หรือ active มากกว่ากัน เพราะอะไรครับ

  12. อยากให้คุณ Narin วิจารณ์ OTO และ OFM ครับ

  13. ชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแล้วค่ะ แต่ยังเข้าไปอ่านข้อความไม่ได้

  14. Market Implied Growth ยังใช้ได้อยู่ไหมครับ หมายความว่าผมเปิดดูเมื่อ23:00น.ของ12สค57ไม่เห็นการคำนวณครับ ไม่ได้เข้าดูมานานครับ แต่ได้ตัดสินใจลงทุน4ตัวคือ BBL,MBK,PS,TUF (PTTกลัวเรื่องนักการเมืองเข้าไปยุ่งครับ)

  15. ขอทราบความเห็นคุณ นรินทร์ กับสูตรการคัดเลือกหุ้น
    จากงานวิจัยของอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา

    ชึ่งเหมือนกันหรือคล้ายคลึง กับ เเนวทาง DG เเละ 7THLTG อย่างไรบ้าง
    ของเราเน้นเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานการเติบโตรองรับ
    ส่วนสูตรช้างล่างเน้น ดูที่ PEG
    สูตรง่ายๆ วิธีง่ายๆ ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จได้
    จากงานวิจัยของอาจารย์ ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา
    น่าสนใจมากค่ะ ฐานข้อมูลจาก “คุณครรชิต ไพศาล”
    thaivi.org ที่อาจารย์ท่านกล่าวถึง ตาม link นี้ค่ะ
    http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=1294

    1. ผมไม่แน่ใจว่าเค้าวัดผลตอบแทนยังไง แต่เหมือนเคยมีคนทำตามแล้วไม่ได้ผลตอบแทนตามนั้น

      แต่ก็คิดว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราลงทุนแบบ passive ได้ครับ

  16. ขอรบกวนพี่โจ๊ก 4 คำถามครับ เนื่องจากว่า พอร์ตยังไม่มีหุ้นอยู่ และได้ศึกษามาบ้าง ต้องการลงทุนระยะยาว ตอนนี้มีเงินก้อนอยู่ และยังมีเงินใหม่เข้ามาจากการทำงานประจำครับ อยากทราบแนวทางครับ

    1.active ที่ค่อนข้าง passive ที่พี่ใช้ ต่างกับ dg อย่างไรครับ
    2. ถ้าตอนนี้เรามีเงินก้อนอยู่ที่จะลงทุน แล้วสามารถจะรอได้ ควรรอเวลาแบบ dg แล้วลงทั้งก้อนไปเลย โดยแบ่งตัวละ 15% 5-7ตัว ไปทีเดียว หรือว่าเมื่อ market correction แล้วทยอยลงทีละก้อนครับ
    3.หลังจากที่เราได้ลง dg ไปแล้ว ถ้ายังมีเงินก้อนใหม่ๆเข้ามา ควรเก็บสะสมรอไปอีกเพื่อรอจังหวะซื้อใหม่ หรือว่าควรจะ ซื้อเฉลี่ยไปเลยดีครับ
    4.วางแผนจะซื้อ index fund ด้วยดีมั้ยครับ ซัก 15% ของเงินลงทุน และซื้อแบบเป็นก้อนแบบพอร์ตสาธิตของพี่ดี หรือว่าแบบ DCA ดีครับ

    ถามยาวหน่อย เพราะว่ากำลังจะวางแนวทางของตนเอง และคงจะไม่เปลี่ยนในระยะยาวครับ ขอบคุณครับ

    1. พอร์ต active ขผงผม จะคิดว่า ต้องการมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 5 ตัว ถ้าเจอครบแล้ว และราคาไม่แพง ก็ซื้อไปเลย แต่ถ้ายังแพงอยู่ ก็ต้องซื้อแค่บางส่วนที่ซ์ื้อได้ ที่เหลือถือเป็นเงินสดไว้ก่อน การซื้อทั้งก้อนจะรีบร้อนไม่ได้ เพราะว่าถ้าผิดราคาจะเสียหายมากได้ครับ

      พอร์ต active ถ้ามีเงินใหม่มาอีก ก็คงถือสะสมเงินสดไว้ก่อนครับ

      ถ้าจะซื้อเป็น index fund ผมแนะนำให้ทำเป็นแบบ asset allocation & rebalancing ครับ ถ้าจะใช้ DCA ผมแนะนำ 7thLTG มากกว่า

  17. อยากทราบว่าเมื่อไหร่ถึงจะถอดใจขายหุ้นวัฐจักรอ่ะคับ (สำหรับกรณีที่เข้าไปเก็งว่าจะพบกับขาขึ้น แต่ขาขึ้นยังไม่มาเสียที ) อย่างนี้เราควรทำอย่างไรดีคับ

    1. แนว Turnaround หรือ Cyclical ต้องมองเห็น ตัวที่จะมา Trigger ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน ค่อยเข้าไปซื้อ ถ้าหากเข้าไปก่อนโดยหวังว่าสักวันจะเกิดการ Trigger บางทีต้องรอนานมากไม่คุ้มครับ

      ตอนเข้า Trigger คืออะไร ถ้า Trigger นั้นยังมีโอกาสเกิดขึ้นสูงอยู่ ก็ควรจะทนถือต่อไป ไม่ว่าราคาหุ้นจะวิ่งไปทางไหน แต่เมื่อใดที่ Trigger นั้นหมดอนาคตแล้ว ก็คงต้องตัดขาดทุนครับ

  18. ขอน้อมรับนำไปปฏิบัติครับ ขอบพระคุณมากครับ

Comments are closed.