อุตสาหกรรมที่น่าสนใจในระยะกลาง (ต่อ)

ในครั้งก่อน ผมได้สรุปไปว่า อุตสาหกรรมที่น่าสนใจในระยะกลางในความเห็นของผมเวลานี้คือ ธุรกิจการเงิน อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจสื่อสาร

ในครั้งนี้อยากเขียนถึงบริษัทเหล่านี้เพิ่มเติม เพราะมีประเด็นปลีกย่อยบางประเด็นที่คิดว่าอยากนำเสนอไว้เป็นไอเดียในการเลือกหุ้นเพิ่มเติม

ธนาคารพาณิชย์ยังไงผมก็ชอบแบงก์ใหญ่มากกว่าแบงก์เล็ก เพราะได้เปรียบกว่าในทุกทาง ไม่ว่าจะทำธุรกิจอะไร ก็จะลงทุนเท่ากัน แต่คืนทุนได้ก่อน เพราะว่าฐานคนใช้เยอะกว่า เก็บค่าธรรมเนียมได้มากกว่า ความเสี่ยงก็ต่ำกว่าเพราะกระจายลูกค้าได้เยอะกว่า แบงก์เล็กจะแข่งอะไรก็เสียเปรียบหมด ดูเหมือนว่าแม้แบงก์ใหญ่จะมีฐานที่ใหญ่มากแล้ว แต่กลับยังมีการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสูงกว่าแบงก์เล็กอยู่ แสดงว่าภาวะปลาใหญ่กินปลาเล็กยังคงดำเนินต่อไป

ธุรกิจธนาคารยังไงก็เป็นธุรกิจที่ดี เพราะมีแบงก์ชาติคอยควบคุมไม่ให้มีจำนวนผู้เล่นมากเกินไป หลังวิกฤตการเงินไทยต้องรีบทำให้แบงก์มีกำไรเยอะๆ เพื่อมาล้างขาดทุนจากการกันสำรอง จนทุกวันนี้แบงก์กำไรเยอะมากแล้ว แต่เกราะป้องกันต่างๆ เหล่านั้นก็ยังไม่ถูกยกออกไป ทำให้ธนาคารได้ประโยชน์อย่างมาก

ธุรกิจประกันชีวิตก็เป็นธุรกิจการเงินที่ดีเพราะมีโอกาสเติบโตสูง ดังจะเห็นได้จากการที่แม้แต่ธนาคารก็ยังอยากเป็นเจ้าของประกันชีวิตกัน ธุรกิจนี้ด้านหนึ่งแข่งขันกันด้วยการโฆษณา ซึ่งเป็นการแข่งขันที่  win-win ทั้งอุตสาหกรรม เพราะช่วยกันสร้าง awareness ให้ลูกค้ามากขึ้น เป็นธุรกิจที่ไม่ไปไล่ฟันราคาค่าเบี้ยกัน แต่แข่งกันที่ช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ามากกว่า เมื่อได้ลูกค้ามาแล้ว ลูกค้าก็อยู่กับบริษัทนานเป็นสิบปี เบี้ยประกันรวมของทั้งตลาดก็เติบโตเป็นสองเท่าของจีดีพีทุกปี แถมยังมีมาตรการภาษีต่างๆ มาช่วยกระตุ้นตลาดอีก เป็นภาพที่ต่างจากประกันภัยเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาประกันชีวิตแข่งกันที่ช่องทางเข้าถึงลูกค้าผ่านระบบธนาคาร แต่ช่วงนี้คิดว่าช่องทางค่อนข้าง stable แล้ว ดังนั้นคิดว่าไม่ว่าตัวไหนในกลุ่มนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดูน่าสนใจพอๆ กันหมด

พวกสินเชื่อบุคคลก็เป็นอีกธุรกิจที่ดูน่าสนใจ แม้ว่าจะยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรมว่า จะมีข่าวดีอะไร แต่สภาวะที่เงินล้นแบงก์ รัฐต้องการกระตุ้นการบริโภค ธุรกิจนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้ประโยชน์ในที่สุด 

แต่สินเชื่อบริโภคที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรคือ ลีสซิ่งรถยนต์ เพราะตลาดนี้แข่งดุ รายใหม่ที่เข้ามาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแย่งลูกค้า ทำให้สุดท้ายแล้วมักจะบาดเจ็บกันหมด เป็นธุรกิจที่มีผู้เล่นเยอะเกินไป แทบทุกแบงก์ก็มีส่วนธุรกิจนี้มาแข่งกับคนอื่นอีก ดูเป็นตลาดที่โหด ไม่น่าลงทุนระยะยาว 

อสังหาริมทรัพย์ที่ว่าดีนั้นควรเป็นธุรกิจที่ทำให้บ้านเมืองดูทันสมัย (เน้นไปที่การอยู่อาศัยของคนชั้นกลาง) ได้ประโยชน์จากทำเลใหม่ๆ ที่รถไฟฟ้าหรือทางหลวงใหม่ๆ จะตัดผ่าน และควรเป็นบริษัทที่รู้จักใช้ประโยชน์จากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

ธุรกิจอสังหาที่เป็นแนวอุตสาหกรรม เช่น นิคมอุตสาหกรรม จึงอาจไม่เข้าข่ายที่น่าสนใจมากนัก ถ้าหากการส่งออกของไทยไม่ดีจริง ลูกค้าของกลุ่มนี้ก็อาจเติบโตไม่ดีนัก หรือถึงขั้นยากลำบากได้เลย ถ้าขยายไว้มากเกินไป ถ้าหากสนใจนิคมอุตสาหกรรมจริงๆ ก็ต้องพยายามเลือกตัวที่มีศักยภาพในการออกกองทุน เพราะอย่างน้อยก็ยังมีตัวช่วย

ผู้พัฒนาโครงการบ้านดูจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะได้ประโยชน์จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทำเลใหม่ๆ ที่รถไฟฟ้ามาสร้างให้ หรือการที่ผู้คนหาที่เก็บเงินไม่ได้ ทำให้มองอสังหาริมทรัพย์เป็นเครื่องเก็บสมบัติ (อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน) คอนโดดูน่าสนใจมากกว่าแนวราบ เพราะคอนโดเหมาะกับแนวรถไฟฟ้ามากกว่า และยังมีตลาดซื้อขายเปลี่ยนมือที่คล่องตัวกว่า ทำให้เหมาะกับการลงทุน แม้ว่าช่วงนี้ตลาดคอนโดยยัง oversupply อยู่ แต่เชื่อว่า น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น เพราะเทรนด์ที่ผู้บริโภครุ่นใหม่หันมาอยู่คอนโดก็ยังคงมีอยู่ ทำเลรถไฟฟ้าใหม่ๆ ก็ยังมีเพิ่มขึ้นด้วย

การเลือกหุ้น Developer นั้น ควรเลือกรายที่มีความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดี มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลาไม่เหมือนธุรกิจที่ตายแล้ว ทำสินค้าที่มีหน้าตาที่ดูล้ำสมัย ไม่เชย ปกติแล้ว พวกบริษัทมหาชนจะมีข้อได้เปรียบหลายอย่างอยู่แล้ว ทั้งชื่อเสียง และโอกาสที่ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยความสำเร็จของการแข่งขันในตลาดนี้ ส่วน Land Bank ไม่ใช่ปัจจัยความสำเร็จของอสังหายุคนี้เท่าไร เพราะเงินจม บริษัทสมัยนี้แข่งกันสร้างเร็วปิดโครงการเร็ว Turnover สูงๆ มากกว่าที่จะแข่งกันสะสมที่ดิน

ผู้พัฒนาห้างสรรพสินค้าก็เข้าข่ายทำให้บ้านเมืองทันสมัย วิถีชีวิตคนดีขึ้น เช่นกัน ถ้าหากเป็นห้างที่ออกไปต่างจังหวัดด้วยก็จะได้ประโยชน์จาก AEC และการเติบโตของหัวเมืองใหญ่ด้วย

แม้ว่าช่วงนี้จะมีคอมมูนิตี้มอลล์ผุดขึ้นมาก และดูเหมือนจะเป็นแนวโน้มใหม่ของห้าง เพราะใกล้บ้าน จอดรถได้เร็ว ดูไม่อึดอัด ฯลฯ แต่ผมมีความเห็นว่า คอมมูนิตี้มอลล์ เป็นอสังหาที่คืนทุนได้ช้ากว่าห้างแบบปิดมาก เพราะพื้นที่เช่าต่อไร่น้อยกว่าหลายเท่าตัว เท่าที่ศึกษาดู คอมมูนิตี้มอลล์ส่วนใหญ่จึงมี IRR ที่ไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าคนเดินจะแน่นก็ตาม ยังไงๆ ห้างขนาดใหญ่ก็ยังเป็นธุรกิจที่น่าสนใจมากกว่า โดยเฉพาะห้างขนาดมหึมา ที่เปิดอยู่บริเวณรอบนอก กทม. น่าจะยังเปิดได้อีกเยอะมาก ผู้ทำโครงการหาพื้นที่ผืนใหญ่ได้ง่าย  คนเดินไปแล้วได้ของครบ ที่จอดรถเยอะๆ แถมไม่ต้องเข้าเมืองให้รถติดด้วย

ธุรกิจสื่อสารนั้น ผมว่าน่าสนใจทั้งเจ้าของโครงข่ายมือถือ บรอดแบรนด์ เคเบิล หรือดาวเทียม หรือพูดง่ายๆ ก็คือ พวกที่สามารถสะสม subscribers ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นฐานรายได้ได้ เพราะพวกนี้จะมีลูกค้าอยู่ในมือ ทำให้ต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้ง่าย เอาของใหม่ๆ มาขายลูกค้าเดิมได้อีก หรือมิฉะนั้น ก็กินค่าหัวคิวต่างๆ หรือถ้าเห็นซัพพลายเออร์คนไหนไปได้ดี ก็ทำเอง หรือซื้อกิจการซะเลย เรียกว่า อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมดิจิตอล

ในขณะที่พวกเจ้าของช่องดิจิตอล ดูเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากกว่า เพราะถูกจับให้มาแข่งกันแย่งคนดูเยอะๆ ผูกขาดอะไรไม่ได้เลย แถมทุกวันนี้คนดูยังมีทางเลือกที่ไม่ใช่ทีวีเยอะขึ้นมาก เช่น เน็ต ยูทูบ เฟสบุ้ค เป็นต้น ดูแล้วกำไรของธุรกิจนี้น่าจะแย่ลงมากกว่าจะดีขึ้น ต่อให้เป็นรายที่เก่งที่สุด ก็แค่ประคองตัวได้เท่านั้น ไม่ใช่ธุรกิจที่โกยกำไร

34 Replies to “อุตสาหกรรมที่น่าสนใจในระยะกลาง (ต่อ)”

  1. ระหว่างอุตสาหกรรมลิสซิ่งรถยนต์กับรถจักรยานยนตร์ อันไหนน่าจะแข่งกันโหดกว่ากันครับ

    1. รถยนต์โหดกว่าครับ

      ใครๆ ก็ทำรถยนต์ครับ

      แต่จักรยานยนต์ สินเชื่อต่อรายน้อย ตามเก็บยุ่งยาก ตลาดอิ่มตัว ฯลฯ ทำให้ไม่ค่อยมีใครสนใจมากเท่ากับรถยนต์

  2. พี่ครับ ผมแจ้งสมัคร พร้อมกับแจ้งที่อยู่การส่งหนังสือไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ยังไม่ได้รับหนังสือ
    ID : thoedtai

  3. อยากทราบมุมมองของคุณ นรินทร์ เกี่ยวกับ THCOM หน่อยคับ ผมคิดว่าจะได้รับประโยชน์ค่อนข้างเยอะ กับยุคดิจิตอล และถือว่าครอง market cap ได้เกือบทั้งหมดในไทย แถมยังมี recurring income + growth เรื่อย ๆ แต่อาจจะมีความเสี่ยงในแง่ของสัมปทาน และ investment ที่สูงในช่วงแรก คุณนรินทร์ มีความเห็นส่วนตัวว่าอย่างไรบ้างคับ

    1. THCOM อยู่ในสถานะที่ดีแน่นอน ตอนนี้ดาวเทียมเก่าเต็มหมดแล้ว โอกาสการเติบโตเลยต้องมาจากดาวใหม่ๆ ซึ่งก็ยังมีอีกเรื่อยๆ ครับ

  4. เคยอ่านผ่านๆว่าคุณ Narin เหมือนจะให้ความสนใจ aeont มากกว่า singer (สรุปเอาเองจากที่อ่านนะครับ หากผมเข้าใจผิดพลาดเอง ขออภัย)

    ตอนนี้ถือขาดทุน singer อยู่ครับ (-30%) แต่ยังคงเห็นว่าการขาย money making machine ได้เติบโตขึ้นตามที่หวัง จึงยังถือไว้ แต่ก็ไม่ซื้อเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็สนใจ aeont มาก

    ระหว่างสองตัวนี้คุณ Narin มองยังไงในระยะยาวครับ

    1. ผมว่า singer มีความสามารถเฉพาะตัวที่มาจากผู้บริหาร คือ ดูแกเป็นคนมีหัวคิด ในการหาช่องทางธุรกิจใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา บางช่วงเวลาก็อาจจะมีแย่ไปบ้าง เนื่องจากปัจจัยภายนอก ก็ย่อมต้องมีความผันผวนสูง แต่ให้เวลาแกสักหน่อย ผมว่าแกก็คงหาช่องทางที่จะโตต่อได้ครับ

      ถ้าผมจะชอบ aeonts มากกว่า ก็อาจเป็นเพราะดูความเสี่ยงจะต่ำกว่า และราคาหุ้นก็ยังไม่แพงมาก แต่โอกาสเติบโตที่เห็นชัดๆ เลยก็ยังไม่มี เป็นแค่การคาดหวังครับ

  5. พี่โจ๊กครับ ผมยังไม่ได้หนังสือเลยครับ ขอบคุณครับ

    1. หนังสือส่งออกไปทุกวันจันทร์ เป็นคิววันจันทร์หน้า น่าจะได้รับภายในสิ้นสัปดาห์หน้าครับผม

  6. อยากทราบความเห็นของพี่โจ๊กเกี่ยวกับนาโนไฟแนนซ์หน่อย มีโอกาสที่แบงก์เอกชนจะโดดลงมาเล่นมั้ยครับ หรือว่าจะเป็นพวกลีสซิ่งที่มีสาขาและความเข้าถึงพื้นที่มากกว่า (singer ด้วย)

    แล้วพี่ว่ามันจะประสบความสำเร็จมั้ย เพราะเห็นตัวอย่างที่อินเดียก็สำเร็จมาแล้วแต่ผมจำชื่อไม่ได้ครับ เพราะที่ทราบฯมาดอกเบี้ยนอกระบบโหดกว่ามาก

    1. ตัวแนวคิดก็คงเป็นเรื่องดี แต่ว่าจะ implement สำเร็จหรือเปล่านี่ ให้ทาย คงทายยาก แนวคิดเดียวกัน บางที่ก็ทำแล้วสำเร็จ บางทีก็ทำแล้วล้มเหลว ทำแล้ว ไม่ตรงจุด ควบคุมไม่ดี ไม่เข้าใจลูกค้า ก็ออกมาไม่สำเร็จ

      ตอนนี้รายละเอียดยังมีน้อยมาก ยังเร็วเกินไปที่จะตอบได้ว่าจะทำออกมาแล้วได้ผลหรือเปล่าครับ

  7. ☺️ไม่แน่ใจว่าเข้าดูแบบสมาชิกไม่ได้เพราะหมดอายุรึเปล่าคะ

  8. อยากทราบมุมมองของคุณ Narin ต่อ OFM หน่อยครับ ว่าตัวธุรกิจเหมาะสมกับการลงทุนในระยะกลางหรือเปล่าครับ ขอบคุณมากครับ

    1. OFM ผมรู้สึกเป็นห่วงตัวธุรกิจหนังสือ ในขณะที่ส่วนออนไลน์ก็โตน้อยกว่าอุตสาหกรรม

  9. ขอความเห็นคุณNarinครับ. หุ้นกลุ่มพลังงาน ptt. Pttep ราคาลงมาถึงจุดน่าสนใจลงทุนได้แล้วยัง pe9 ปันผลราว4% อคีตที่ผ่านมาก็ยังมีgrowthทุกปี

    1. หุ้นพวกนี้มูลค่าขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันอย่างมากครับ ปันผลเยอะ พีอีต่ำ แต่ถ้าราคาน้ำมันเปลี่ยนไปมากๆ กำไรในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเลย ทำให้พีอี และปันผลปัจจุบันบอกอะไรไม่ได้มาก ประวัติการเติบโตในอดีตก็ยิ่งบอกอนาคตได้น้อยใหญ่

      ผมไม่รู้ว่าราคาน้ำมันใหม่จะไปนิ่งที่เท่าไร แต่ไม่เห็นด้วยกับหลายสำนักที่ฟันธงได้ เพราะว่า shale gas ทำให้เกมเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าเอาราคาในอดีตมาวัด ผมว่าผิดแน่ๆ ถ้าหากซาอุจะทำลาย shale gas จริงๆ ก็คิดว่าคงได้แค่ชะลอ แต่ในที่สุด shale gas ก็จะเข้ามาแย่งตลาดจากน้ำมันอยู่ดี ดังนั้น ควรมองราคาน้ำมันใหม่ ให้ต่ำกว่าเดิมไว้เยอะๆ ก่อน โอกาสที่จะกลับไปสูงเหมือนเดิมนั้น แทบจะไม่มีเลย

      pttep ช่วงหลังๆ ผมไม่ได้มองเลย เพราะว่าแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ที่ไปซื้อมา เป็นแหล่งน้ำมันต้นทุนสูง ถ้าราคาน้ำมันต่ำมาก แหล่งพวกนี้อาจไม่มีศักยภาพ ส่วน ptt นั้นมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายปนกัน ถ้าหากสุดท้ายแล้วไม่โดนแยกสินทรัพย์ หรือแยกแต่มีการชดเชยความเสียหายให้กับผู้ถือหุ้นแบบสมน้ำสมเนื้อ ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ยังมีข่าวดีรออยู่ครับ

  10. ถ้าราคาน้ำมันในอนาคตเป็นอย่างพี่นรินทร์ว่าจริงๆ ราคาถ่านหินจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีกเหรอครับ และมีกลไกอะไรอย่างอื่นที่จะทำให้ราคาถ่านหินกลับขึ้นมาได้อีกบ้างครับ

  11. ช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันลดลง หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือกน่าจะลดความร้อนแรงลง อาจจะเป็นโอกาสดีสำหรับหุ้นบ้านปูบ้างมั้ยครับ พี่นรินทร์ @^_^@

  12. ช่วงนี้ผมยังคงคำนวน Market Cap ที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัวที่สนใจอยู่ครับ ผมทำไปเรื่อย ๆ (เพลินดีครับ) ซึ่งระหว่างทำนั้น หุ้นที่ผมคำนวนได้ Market Cap ที่ควรจะเป็นสูงกว่าในตลาดตอนนี้ (หาค่อนข้างยากมาก) ได้เป็นกลุ่มโบรคเกอร์หลายตัวทีเดียว แบบนี้พี่นรินทร์มองว่าอย่างไรบ้างครับ โดย Upside ที่ได้ล่อตาล่อใจพอสมควร แต่ผมยังติดที่เป็นกลุ่มของโบรคเกอร์ เกรงว่าจะเหมาะกับการลงทุนหรือเปล่าครับ อีกทั้งบางตัวไม่ค่อยมีการซื้อขายสักเท่าไหร่ออกแนวนิ่ง ๆ เสียมาก คงต้องรบกวนขอคำแนะนำจากพี่ครับ
    ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

    1. กลุ่มโบรกไม่เหมาะกับการถือลงทุนเท่าไร เป็นหุ้นเล่นระยะไม่ยาวมากมากกว่า

  13. พี่นรินทร์…ผมยังไม่ได้หนังสือเช่นกันครับ….

  14. พี่นรินทร์ครับ พี่ถามความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิตต่อว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไรครับในระยะยาว เสียดายครับที่ตัวเลือกหุ้นประกันชีวิตในบ้านเรามีน้อยมากครับ
    ติดตามหนังสือพี่มาตลอดครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับความรู้ดีดีครับ 🙂

    1. ผมยังมองว่าดีอยู่นะครับ แม้ว่าบางช่วงบางเวลาจะสะดุดบ้าง ตลาดนี้โตมากกว่าเศรษฐกิจตลอด และเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างฐานลูกค้าได้

  15. เป็นน้องไหม่ อยากเรียนรู้เรื่องหุ้นค่ะ สนใจมานานละแต่บางทีซื้อหนังสือมาอ่านก็เข้าใจบ้างไม่เข้าบ้าง แต่ตอนนี้เริ่มจะพอเข้าใจ นิดหน่อยค่ะ รบกวนพี่ๆแนะนำด้วยค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *