สามสิ่งที่มีค่า

ผมสังเกตว่า มีอาชีพอยู่ 3 แนว ที่สังคมมนุษย์ดูจะให้ผลตอบแทนมากเป็นพิเศษ (ส่วนมันจะยุติธรรมหรือไม่นั้น เป็นอีกประเด็นต่างหาก) ถ้าหากจะลงทุนลงแรงไปกับการแสวงหาอาชีพอะไรสักอย่าง ก็น่าจะพิจารณาอาชีพ 3 แนวนี้เป็นพิเศษ

อย่างแรกคือ อาชีพนายทุน แต่ไหนแต่ไรมา ดูเหมือนทุน Capital จะได้ผลตอบแทนมากกว่าแรงงาน Labor เป็นอย่างมาก และก็มีแนวโน้มว่าจะยังเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคต คำว่าอาชีพนายทุนนั้นหมายถึง การเป็นเจ้าของทรัพย์สินอะไรบางอย่าง แล้วหาค่าตอบแทนจากทรัพย์สินนั้น

ทรัพย์สินที่ดี นอกจากจะต้องทำประโยชน์ได้แล้ว ยังต้องเป็นของที่ unique ด้วย เช่น ที่ดิน หรือทำเล ในบริเวณใด บริเวณหนึ่ง ย่อมมีจำนวนจำกัด เช่น ที่ดินรอบๆ มหาวิทยาลัย มีจำกัด ใช้สร้างหอพักที่อยู่ใกล้ได้ ทำให้มันมีค่า ในขณะที่ เงินสด เป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้น้อยที่สุด เพราะเป็นของเหมือนๆ กัน ไม่มีความ unique นายทุนที่รวยเร็วมักจะไม่ค่อยถือเงินสด แต่จะถือ Wealth เป็นสินทรัพย์ทำเงินอย่างอื่นตลอดเวลา

ผมเคยเจอเจ้าของตึกแถวข้างมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง เขาเปิดร้านเน็ตยังไงก็เจ๊ง คือไม่คุ้มค่าแรง แต่พอตัดสินใจปล่อยตึกให้คนอื่นมาเช่าทำธุรกิจ แล้วตัวเองรอเก็บค่าเช่าอย่างเดียว ก็กำไรทันที แถมเหนื่อยน้อยกว่ามาก นั่นแสดงว่า แวลูทั้งหมดของร้านเน็ตของเขาอยู่ที่ทำเลอย่างเดียว ตัวธุรกิจร้านเน็ตเองกลับไม่เคยสร้างกำไรอะไรเลย ทุนจึงได้ผลตอบแทนมากกว่าแรงงาน เพราะทุนเป็นสิ่งที่มีจำกัด แต่แรงงานเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็มี ทั้งที่เหนื่อยมากกว่า

หุ้นก็เป็นทุนชนิดหนึ่ง ผู้ถือหุ้นก็เหมือนประกอบอาชีพนายทุน คือแทนที่จะเอาเงินฝากในธนาคารไปซื้อรถ ชื้อมือถือ เที่ยวเมืองนอก ก็เอามาซื้อหุ้นแทน เพื่อให้ธุรกิจทำงานหาเงินให้เรา หุ้นที่ดีก็เหมือนกับสินทรัพย์ที่ดีอย่างอื่น คือต้อง unique คือเป็นหุ้นของธุรกิจที่มีอำนาจผูกขาดบางอย่าง มีอะไรที่ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ทำแข่งได้ ไม่ใช่หุ้นหรือธุรกิจอะไรก็ได้

หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ต่างจากหุ้นของบริษัททั่วไป เพราะต้องซื้อขายแข่งกันในตลาด ถ้าหากเป็นของดี ใครๆ ก็รู้ว่าดี จึงต้องซื้อแพง ทำให้บางทีบริษัทดีจริง แต่เพราะว่าซื้อมาแพงก็อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเยอะอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น คนที่จะซื้อหุ้นในตลาดหุ้นแล้วได้ผลตอบแทนดี นอกจากจะต้องซื้อธุรกิจที่มีดีแล้ว ยังต้องรู้ก่อนคนอื่น หรืออ่านขาดกว่าคนอื่นด้วยว่าธุรกิจนั้นมีดี เพราะทำให้สามารถซื้อหุ้นนั้นได้ที่ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ที่ดินก็เหมือนกัน ถ้าซื้อที่ดินรอบรถไฟฟ้า ก็อาจจะไม่ได้อะไร เพราะทำเลดีก็จริง แต่ใครๆ ก็รู้ว่าดี ราคาขายก็ต้องแพง เมื่อซื้อมาแพงก็อาจทำกำไรได้น้อย แบบเดียวกันเลย ดังนั้น ก็ไม่ใช่ว่าอาชีพนายทุนดีแล้ว ใครเป็นนายทุนก็จะรวยหมด คนที่เป็นนายทุนที่ดีคือคนที่อ่านขาดกว่าคนอื่น หรือมีข้อมูลที่ดีกว่าคนอื่นด้วย ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ฟรี

อาชีพหรือวิธีทำมาหากินแบบที่สองคือ อาชีพขายชื่อเสียง ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ทำกำไรได้สูงมาก คนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เช่น ดารา เซเลบ จะมีช่องทางทำเงินมากมาย แค่มางานปาร์ตี้ก็ได้เงินแล้ว หรือแค่ยอมให้สินค้าต่างๆ ใช้ชื่อของตัวเองเป็นแบรนด์ก็ได้เงินแล้ว เป็นต้น ไม่ต้องลงมือทำอะไรเองเลย

ผมรู้จักอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เขารับงานข้างนอกจากบริษัทเอกชนด้วย จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ทำงานเหล่านั้นเองเลย เพราะเสียเวลา เขาเอางานนั้นมาให้นักศึกษาทำ แล้วถึงเวลาก็แค่ตรวจๆ แล้วก็เซ็นชื่อเฉยๆ เพราะวิธีนี้ทำเงินเร็วกว่า ชื่อเสียงทำเงินต่อชั่วโมงได้มากกว่าแรงงานมาก อาจารย์ที่มีชื่อเสียงแล้วจึงไม่ทำเอง แต่จ้างคนอื่นทำให้ แล้วก็แค่ลงชื่อ พวกจิตรกรชื่อดังหลายคนก็ทำแบบนี้เหมือนกัน ให้ลูกศิษย์วาดให้ ตัวเองแค่เซ็นชื่อในภาพ ทำเงินได้เร็วกว่า

เหตุผลลึกๆ ที่ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ทำเงิน ก็คือ ความน่าเชื่อถือ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ เราไม่มั่นใจ เรากลัวเสี่ยง เรายิ่งต้องวิ่งหาคนมีชื่อเสียงเพื่อช่วยประกันความปลอดภัยให้เรา ทำให้เราเกิดความอุ่นใจ ซึ่งเรายินดีจ่ายเงินซื้อความสบายใจ สมมติว่า มีน้ำมันพืชสองยี่ห้อให้เลือก ยี่ห้อหนึ่งดัง อีกยี่ห้อไม่รู้จัก เราย่อมหยิบยี่ห้อที่ดัง แม้ว่ามันอาจจะแพงกว่า เพราะเราต้องการความมั่นใจ เราเชื่อถือแบรนด์ พวกธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีแบรนด์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ที่จริงแล้ว โรงงานของบริษัทไม่ได้มีค่าอะไรเลย มูลค่าของธุรกิจจริงๆ อยู่ที่แบรนด์ ทั้งนั้น เพราะโรงงานใครก็เปิดได้ แต่แบรนด์ในใจคนจะมีได้มากที่สุดไม่เกิน 3-4 แบรนด์ต่อสินค้าหนึ่งอย่าง มากกว่านี้คนขี้เกียจจำแล้ว แบรนด์ 3-4 แบรนด์แรกของสินค้าทุกชนิดจึงมีค่า

อาชีพขายชื่อเสียงฟังดูเหมือนหาเงินง่ายๆ แต่ที่จริงมันยากตอนที่ยังไม่มีชื่อเสียง เพราะต้องสะสมความประทับใจของลูกค้าวันละนิดละหน่อย จนกลายเป็นฐานของผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ภักดีต่อเรา หรือมิฉะนั้นก็ต้องกล้ามากกว่าคนอื่น ถึงจะดังเร็ว เช่น อยากเป็นนักร้อง ถ้าร้องอยู่ตามผับก็คงดังช้า แต่ถ้าไปประกวดเดอะวอยซ์แล้วชนะก็อาจดังได้ในเวลาแค่สามเดือน คือเป็นคนที่ไขว่คว้าโอกาสมากกว่าปกติ (แต่ก็ต้องเก่งด้วยนะ)

ถ้าเรารู้แล้วว่าธุรกิจส่วนมากกำไรเพราะว่าความน่าเชื่อถือ หากจะทำธุรกิจอะไรก็ควรมุ่งสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ ไมใช่ตีหัวเข้าบ้าน เพราะอาจจะได้กำไรครั้งเดียว แต่ไม่ยั่งยืนเหมือนกับการธุรกิจที่สามารถสร้างแบรนด์ได้ในระยะยาว

อาชีพแนวที่สามคือ อาชีพแนววิชาชีพ เช่น หมอ นักกฎหมาย นักบัญชี อาชีพพวกนี้ขายแรงงานเหมือนกัน แต่ว่าเป็นแรงงานที่มีทักษะ แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่มากเท่ากับสองแบบแรก แต่ก็ค่อนข้างมาก และที่สำคัญคือ โอกาสที่คนธรรมดาทั่วไปจะทำอาชีพเหล่านี้ได้มีมากกว่าสองแบบแรก คือไม่ต้องอาศัยโชคดีมากๆ หรือมีความเก่งบางอย่างที่ทั้งประเทศไม่มีใครทำได้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องความขยันมากกว่า เช่น สอบแข่งขันให้ได้ เก็บชั่วโมงให้ครบ เป็นต้น หมอหรือนักกฎหมายก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องดังทุกคนถึงจะได้เงินมาก หมอหรือนักกฎหมายที่ไม่ดังมากก็มีรายได้ที่ดีพอสมควร เหตุผลที่อาชีพพวกนี้มีรายได้ดี เนื่องมาจาก supply มีจำกัด เช่น มีสภาวิชาชีพคอยจำกัดจำนวนคน มีการสอบแข่งขันเพื่อให้มีคนทำอาชีพนี้น้อย ทำให้คนที่ได้ทำทุกคนได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง อาชีพวิชาชีพเป็นอาชีพที่ดีเสมอมา แต่ในอนาคตก็น่าจะมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีตก

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่ผมบอกว่าสามอาชีพนี้เป็นสามอาชีพที่ได้ผลตอบแทนดี ก็ไม่ได้แปลว่า แค่ทุกคนเลือกทำสามสิ่งนี้แล้วก็ได้จะได้ผลตอบแทนดีทุกคน ของดีต้องได้มายาก กฎข้อนี้ไม่มีวันเปลี่ยน แต่ถ้าหากเราจะลงทุนลงแรงไปกับอย่างเท่าๆ กัน ถ้าอย่างหนึ่งทำให้เรามีโอกาสไปสู่สามสิ่งนี้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งไม่ให้โอกาสเลยหรือไม่ได้สิ่งเหล่านี้ติดตัวไปบ้างเลย คุณก็คงเลือกได้ว่าควรจะลงทุนไปกับสิ่งไหนมากกว่า

 

7 Replies to “สามสิ่งที่มีค่า”

  1. ขอบคุณอย่างมากครับ ได้อ่านบทความดี เหมือนเจอแสงสว่าง นำทางชีวิต

  2. “เนื่องมาจาก supply มีจำกัด เช่น มีสภาวิชาชีพคอยจำกัดจำนวนคน มีการสอบแข่งขันเพื่อให้มีคนทำอาชีพนี้น้อย ทำให้คนที่ได้ทำทุกคนได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง”

    สภาวิชาชีพ เช่น สภาวิศวกร หรือ แพทยสภา ไม่ได้จำกัดจำนวนคนให้การสอบแข่งขันเพื่อมีคนทำอาชีพนี้น้อยนะครับ แต่น่าจะเป็นเรื่องของคอยควบคุมจรรยาบรรณ และ การออกใบอนุญาตให้กับผู้ที่มีความรู้ความสามารถจริงๆให้ ทำงานในอาชีพนั้นๆ โดยไม่ส่งผลกระทบเสียหากกับผู้ใช้บริการในภาพรวมนะครับ

    1. แพทย์ เฉพาะทางมีไม่พอใช้ มี แต่ละปี โควต้าเรียนเปนคอขวดคับ

      สมัยก่อน ผลิต 100 ได้เรียนเฉพาะทางไม่ถึง50

  3. แพทย์สภา อาจจะไม่ได้เปนคนคุม. ผมกะไม่รู้ว่า เพราะอะไร.
    อาจจะหมดงบ หรือ conspiracy บางอย่าง

  4. บทความนี้ช่วยให้ผู้อ่านทำมาหากินทางธุรกิจได้มาก

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *