จะจบปีอีกแล้ว ได้เวลาหันออกมามองสถานการณ์ตลาดทุนประจำปีกัน
แม้ว่าปีที่ผ่านหุ้นจะผันผวนรุนแรง แต่ SET index น่าจะจบปีนี้ด้วยผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ไม่ยาก ถ้าปีนี้ใครเล่นหุ้นแล้วไม่ได้ตังค์ ก็น่าคิดเหมือนกันว่า ทำไมเราถึงเล่นหุ้นสู้ดัชนีซึ่งแค่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยยังไม่ได้ หรือว่าจริงๆ แล้วเราเหมาะกับ Passive Investing มากกว่าหรือไม่อย่างไร?
ในแง่กำไรของบริษัทจดทะเบียน แม้ภาพเศรษฐกิจจะดูไม่ดี แต่ดูตัวอย่างจากไตรมาส 2/59 บริษัทจดทะเบียนโดยรวมก็ยังสามารถทำกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นได้ แต่เป็นการเพิ่มขึ้นโดยที่รายได้ไม่ได้เพิ่ม ซึ่งก็เท่ากับว่าบริษัทจดทะเบียนใช้วิธีการลดต้นทุน เพื่อให้ยังทำกำไรมากขึ้นได้ แต่ตัวธุรกิจไม่ได้เติบโตขึ้น
ถ้าดูจากเศรษฐกิจจริง ตัวเลขจีดีพีไตรมาสล่าสุดโตได้เกิน 3% ซึ่งก็ถือว่าสูง โดยมาตรฐานของทฤษฏี New Normal (ที่บอกว่า ไทยเรากำลังติดกับดักรายได้ปานกลาง จีดีพีจะลดการเติบโตลงเหลือแค่ปีละ 3% ถ้าไม่หาทางแก้ไข) ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การใช้จ่ายของภาครัฐคือเครื่องยนต์ตัวเดียวที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ เพราะรัฐใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่สูงกว่าจีดีพีรวมเป็นอย่างมาก ช่วงนี้ถือว่าการใช้จ่ายของเอกชนเริ่มกลับมาดูปกติแล้ว (อันนี้ก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะโดยความรู้สึกเหมือนทุกคนจะไม่อยากใช้จ่าย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมาตรการกระตุ้นของรัฐเองด้วยรึเปล่าที่ทำให้การใช้จ่ายของเอกชนดูปกติดี) แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่คือ การลงทุนของภาคเอกชน ไตรมาสล่าสุดยัง -0.3% ส่วนการส่งออกนั้น แม้ว่าจะไม่ดีเช่นกัน แต่การนำเข้าแย่กว่า เพราะเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ดี ทำให้การส่งออกสุทธิเป็นบวกได้
ถ้าดูจากดัชนีอุตสาหกรรมเดือนกันยา พบว่า +0.6% ทำให้น่าจะมองได้ว่า เศรษฐกิจน่าจะยังอยู่ในโหมดขยายตัวได้ แต่เป็นตัวเลขที่น้อยมากๆ (ก็ยังดี อย่างน้อยก็ยังบวก) โดยรวมแล้ว ในแง่ของการเป็นนักลงทุน ภาวะเศรษฐกิจไทยภาคจริงในเวลานี้ผมชอบนะ เพราะเศรษฐกิจที่ขยายตัวอยู่ แต่ขยายตัวอย่างเปราะบางมาก ไม่น่าจะมีฟองสบู่เกิดขึ้นง่ายๆ แถมยังพร้อมจะดีขึ้นได้อีก (มีอัพไซด์มาก) กลับเป็นภาพที่ดูน่าลงทุนมากกว่าเวลาที่เศรษฐกิจที่เฟื้องฟูมากๆ ซึ่งเสี่ยงวิกฤตได้มากกว่า และอัพไซด์ก็อาจจะน้อยกว่าด้วย ถ้าหากเราจะตั้งความหวังว่าปีหน้า บริษัทจดทะเบียนจะทำกำไรเพิ่มได้อีกสัก 10% ก็ดูไม่เหมือนการตั้งความหวังที่ดูเว่อเกินไปเลย
ในแง่ Valuation ตอนนี้พีอีตลาดอยู่แถวๆ 17 เท่า ซึ่งในเศรษฐกิจแบบปกติอาจถือว่าสูง แต่ในยุคดอกเบี้ยต่ำยาว พีอี 17 เท่าถือว่า ไม่ถูกไม่แพง กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ยังเพิ่มได้อยู่ ฉะนั้น ในแง่ Valuation ก็ไม่ได้เลวร้ายเช่นกัน
ปัจจัยที่ดูจะเป็นลบ จะเป็นปัจจัยที่มาจากภายนอกเป็นหลัก ประการแรกก็คือ เฟดอยู่ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั้งหมด ปลายปีนี้ตลาดเชื่อหมดแล้วว่าเฟดขึ้นดอกเบี้ยหนึ่งครั้งแน่นอน ตรงนี้คงไม่มีผลอะไร แต่สิ่งที่ตลาดอยากรู้คือหลังจากปลายปีนี้ ดอกเบี้ยจะขึ้นต่อเร็วหรือช้าแค่ไหน ซึ่ง ณ เวลานี้ ยังตอบได้ยากอยู่ ปัจจัยที่ไม่แน่นอนมีเยอะมาก ยังไม่รู้ว่าปีหน้า เศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าจะฟื้นเร็วหรือฟื้นช้า ทรัมป์อยากขึ้นดอกเบี้ยให้เร็วขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าแค่พูดหาเสียงแล้วทำไม่ได้จริงหรือเปล่า ที่จริงปี 2559 เฟดก็ขึ้นดอกเบี้ย แต่เหตุการณ์กลับเป็นว่า ต่างชาติกลับเป็นผู้ซื้อสุทธิหลัก เพราะดอกเบี้ยขึ้นแต่ขึ้นช้ากว่าที่เฟดพูดไว้มาก ทำให้เงินไหลย้อนกลับมาเล่นตลาดหุ้นเกิดใหม่กันต่อ ปัจจัยนี้จึงเป็นปัจจัยที่ต้องค่อยๆ ติดตามพัฒนาการไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจต้องปรับเปลี่ยนความคิดไปด้วย เพราะถ้าดอกเบี้ยเฟดขึ้นเร็ว ก็ต้องมีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยไม่มากก็น้อย แต่ถ้ากำไรบจ.ยังเพิ่มขึ้นได้ ก็อาจจะช่วยลดผลกระทบได้ ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเร็ว แถมกำไรยังลด อันนี้ก็ … (แต่ผมก็คิดว่า โอกาสที่จะเกิด scenario นี้ ไม่ได้มากนัก)
ปัจจัยอื่นที่เป็นเชิงลบก็คือ ปัญหาหนี้เสียในจีน ซึ่งดูรุนแรงมาก และเป็นเรื่องที่พูดกันมานานเป็นสิบปีแล้ว แต่ที่ผ่านมา จีนก็ยังเข้าไปอุ้มแล้วอุ้มอีก ทำให้ไม่จบสักที กลายเป็นแผลที่พร้อมจะปะทุออกมาได้ตลอดเวลา แต่ครั้นจะกลัวประเด็นนี้มากจนล้างพอร์ตหนี ก็ดูเกินกว่าเหตุ ที่ผ่านมาใครกลัวตรงนี้ไม่ยอมลงทุน ก็อาจไม่ได้ลงทุนอะไรเลยมาเป็นสิบปีแล้ว ปัญหาของการล้างพอร์ตเพื่อหนีวิกฤตก็คือ เราไม่เคยรู้ว่าวิกฤตจะระเบิดเมื่อไร บางทีก็อาจใช้เวลา 20 ปีกว่าจะระเบิดจริง เวลาที่หายไป ไม่ได้ลงทุน อาจเป็นต้นทุนที่หนักกว่าเสียอีก
ปัจจัยลบอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ก็คงเป็น แผ่นดินไหว ก่อการร้าย โรคระบาด ซึ่งโลกยุคนี้ดูเหมือนเราจะต้องอยู่กับมันไปตลอดแล้ว เอาเข้าจริงๆ ปัจจัยพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย ตลาดหุ้นอาจจะตกแรง แต่มักจะกลับมาได้เร็วมากในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น มันเริ่มจะชาชินกับข่าวทำนองนี้ไปหมดแล้ว
สรุปแล้ว ผมมองว่าตลาดหุ้นช่วงนี้อยู่ในสภาวะไม่ดีไม่ชั่ว เป็นกลางๆ ถ้าเป็นกลางๆ สำหรับผมก็คือต้องลงทุนต่อไป เพราะในระยะยาว หุ้นคือหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงเรา คนเราจึงควร bias ข้างลงทุนหน่อยๆ เอาไว้เสมอ
ในรูปที่เป็น graph set ดูผลตอบแทน สามารถดูได้จาก web ไหนครับ
พิมพ์ว่า set index ใน google search ได้เลย
พี่โจ๊กครับ ถ้าหากเกิด สงครามโลกครั้ง ที่ 3 หรือ ปัญหารุนแรง ทางเศรษฐกิจ ของ อเมริกา ตลาดหุ้น จะ crash ไม๊ครับ? ทุกคนในตลาดหุ้นจะเจ้งหมด?
ถ้าขนาดนั้นถือเงินสดหรือหุ้นก็ไม่ต่างกันเท่าไรมั้ง
ขอบคุณคะ