0290: Making sense of an IPO (1)

บริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) แตกต่างจากบริษัทจำกัด (บจก.) ทั่วไปตรงที่สามารถระดมทุนจากสาธารณชนได้ กฎหมายระบุไว้มิให้บริษัทจำกัดทั่วไปเชิญชวนให้ชาวบ้านเอาเงินมาลงทุนเป็นการสาธารณะ เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการหลอกลวงเป็นอย่างมากแบบเดียวกับแชร์ลูกโซ่ทั้งหลายที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ  

บมจ.ต้องอยู่ภายใต้ พรบ.มหาชน ซึ่งมีกติกาในการประกอบกิจการที่ยุ่งยากกว่าบริษัทจำกัด กติกาเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความยากลำบากให้กับผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีเจตนาจะเอารัดเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย การระดมทุนต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกของบมจ. จะเรียกว่า Initial Public Offering หรือ IPO และหุ้นที่นำมาขายก็จะเรียกว่า หุ้น IPO หรือว่า หุ้นจอง ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง

อันที่จริง เมื่อบมจ.ขายหุ้นจองได้แล้ว บมจ.ไม่จำเป็นต้องนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก็ได้ กฎหมายไม่ได้บังคับไว้ ดังนั้นการเสนอขายหุ้นจองกับการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ จึงเป็นคนละเรื่องกัน  แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าหาก บมจ.ไม่นำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดฯ ด้วย นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่จองซื้อหุ้นของบริษัท เพราะซื้อแล้วขายต่อเพื่อทำกำไรได้ยาก เพราะไม่ได้มีตลาดรองรับ ทำให้ไม่น่าซื้อ ฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้ว บมจ. ที่ขายหุ้นจองจึงมักต้องนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดฯ ด้วยเสมอ เพื่อช่วยให้หุ้นจองขายออก การเสนอขายหุ้นจองจึงมักตามมาด้วยการนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดฯ เสมอจนคนทั่วไปนึกว่า เป็นเรื่องเดียวกันไปเสียแล้ว

นักลงทุนที่กล้าซื้อหุ้นจองตั้งแต่ก่อนที่บริษัทจะได้รับอนุญาตจาก กลต.ให้เข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ได้หรือที่เรียกว่าผ่านไฟลิ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกนักลงทุนสถาบัน หรือพวก private equity ซึ่งมีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปตรวจสอบบริษัทเองได้เท่านั้น นักลงทุนเหล่านี้จะมักได้ซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดว่าจะเป็นราคาจองมาก ทำให้มีโอกาสได้กำไรสูงเมื่อหุ้นเข้าตลาดฯ ได้สำเร็จ แต่นักลงทุนเหล่านี้ก็ต้องเสี่ยงกับการที่บริษัทอาจเข้าตลาดได้ช้ากว่ากำหนด หรือถ้าแย่กว่าอาจเข้าตลาดไม่สำเร็จในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากสำหรับนักลงทุนที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบบริษัทได้ด้วยตนเอง

ปกติแล้วการจะผ่านไฟล์ลิ่งของกลต.ได้นั้น มีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากพอสมควร ข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านี้ช่วยทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นในระดับหนึ่งว่า กิจการของบริษัทมีความน่าเชื่อถือมากพอ (ไม่ใช่บริษัทไก่กา) ที่จะปล่อยให้นักลงทุนรายย่อย ซึ่งโดยพฤติกรรมแล้ว มีการศึกษาก่อนที่จะลงทุนน้อยมาก ซื้อหุ้นเหล่านั้นในตลาดฯ ได้ โดยมากแล้ว บมจ.ทุกแห่งจำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นบริษัทมืออาชีพทางด้านนี้โดยเฉพาะมาช่วยเตรียมตัว (แต่งตัว) เพื่อขอไฟล์ลิ่ง ซึ่งใช้เวลาเป็นปีและมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากด้วย ส่วนใหญ่แล้ว ภาระของที่ปรึกษาทางการเงินมักไม่แตกต่างกันมากนักไม่ว่าบริษัทจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังนั้น บริษัทขนาดเล็กที่คิดจะเข้าตลาดฯ จะเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าตลาดฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ ยังไม่นับเรื่องการที่ต้องเปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ให้เป็นผู้สอบบัญชีที่รับอนุญาต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเช่นกัน แถมยังต่อเนื่องอีกต่างหาก อย่างไรก็ตาม บริษัทก็เอาเงินชาวบ้านที่จะได้จากการขายหุ้นจองนั้นแหละมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ดังนั้นในแง่กลยุทธ์ เอาเข้าจริงๆ การกำหนดให้การเข้าตลาดต้องมีค่าใช้จ่ายสูงไม่ได้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับหุ้นได้มากขึ้นเท่าไรนัก เพราะเจ้าของเดิมไม่ได้มีต้นทุนอะไร

ปกติแล้ว เวลาบริษัทเสนอขายหุ้นจอง หุ้นจองนั้นอาจเป็นหุ้นใหม่ (หุ้นเพิ่มทุน) ทั้งหมด หรืออาจเป็นหุ้นเพิ่มทุนส่วนหนึ่งบวกกับหุ้นเก่าของผู้ถือหุ้นเดิมส่วนหนึ่งก็ได้ เท่าที่ยังอยู่ในสัดส่วนที่ข้อบังคับของ ตลท.อนุญาต ในกรณีที่ บริษัทเอาหุ้นเก่าของผู้ถือหุ้นเดิมมาให้จองมากๆ นักลงทุนควรตั้งคำถามให้มากๆ ก่อนที่จะตัดสินใจจอง เงินที่ได้จากการขายหุ้นเก่าจะไม่เข้าบริษัท แต่จะเข้ากระเป๋าผู้ถือหุ้นเดิมแทน ถ้าหากบริษัทยังมีอนาคตที่ดีอยู่ แล้วเจ้าของเดิมเอาหุ้นของตัวเองจำนวนมากออกมา cash out ทำไม? ส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของเดิมชอบอ้างว่า บริษัทมีฐานะการเงินที่ดีอยู่แล้ว ไม่ได้ต้องการเงินสดมาก แต่เข้าตลาดเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น แต่นักลงทุนก็ควรคิดเอาเองว่าควรจะเชื่อคำพูดของเจ้าของเดิมหรือไม่

นอกจากนี้ นักลงทุนทุกรายที่จองหุ้นควรได้ซื้อหุ้นจองในราคาเดียวกันทั้งหมด แต่ในบางกรณี บริษัทอาจให้สิทธิพนักงานและ “ผู้มีอุปการะคุณ” จองหุ้นในราคาที่ต่ำกว่านักลงทุนทั่วไปได้ ในกรณีของพนักงานบริษัทนั้นอาจพอเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของขวัญกำลังใจและสวัสดิการพนักงาน แต่ในกรณีของ “ผู้มีอุปการะคุณ” นั้น ถ้าหากได้รับการจัดสรรหุ้นไม่เยอะมากก็ยังพอเข้าใจได้ เพราะกว่าบริษัทจะโตมาถึงขนาดที่เข้าตลาดได้ คงต้องพึ่งพาใครต่อใครมากมาย เมื่อบริษัทยังเล็กอยู่ ทุนไม่หนา การตอบแทนผู้มีอุปการคุณเป็นเงินโดยตรงอาจทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้ต้องใช้โอกาสนี้ในการตอบแทนผู้มีอุปการคุณในรูปแบบของสิทธิ์ในการจองหุ้นในราคาต่ำแทน แต่ถ้าผู้มีอุปการคุณได้รับจัดสรรหุ้นเป็นจำนวนมาก ก็สมควรต้องตั้งคำถามอย่างแรงถึงความโปร่งใสเหมือนกัน เพราะเท่ากับเป็นการอาศัยกำลังทรัพย์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยให้ช่วยตอบแทนผู้มีอุปการคุณให้ทางอ้อมอย่างหนึ่ง ถือเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ต้องมีส่วนในการตอบแทนด้วย

ที่สำคัญ เวลาจะจองหุ้น อย่ามัวแต่ดูราคาว่าถูกหรือไม่เมื่อเทียบกับพีอีปัจจุบัน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ บริษัทจะเอาเงินเพิ่มทุนที่ได้ไปทำอะไร เพราะจะส่งผลอย่างยิ่งต่อกำไรในอนาคตของบริษัทหลังจากที่ได้จองซื้อหุ้นไปแล้วครับ  

ในเชิงกลยุทธ์แล้ว หุ้นจองเป็นหุ้นที่ไม่น่าจองเสมอ เพราะถ้าราคาจองเป็นราคาที่ถูกเกินจริงจะไม่เหลือตกมาถึงเรา ดังนั้นถ้าจองแล้วเหลือมาถึงเราได้ แสดงว่า ขายไม่ค่อยออก วันเข้าตลาดจึงมีโอกาสสูงที่จะต่ำจอง สรุปแล้ว มีแต่ทางขาดทุนมากกว่าทางได้ ถ้าหากสนใจหุ้นตัวนั้นจริงๆ เพราะชอบกิจการ การไปรอวัดดวงซื้อเอาในวันที่เข้าตลาดแล้วจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หุ้นที่เทรดในตลาดแล้ว ราคาที่เห็นเป็นราคาที่ยืนได้ด้วยแรงซื้อแรงขายที่เป็นของจริง ไม่เหมือนกับราคาจองที่เป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ ไม่รู้จะยืนได้หรือเปล่า อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเป็นหุ้นจองรัฐวิสาหกิจที่กระจายหุ้นด้วยวิธีจับสลาก อันนี้ค่อยน่าซื้อตอนจองหน่อย เพราะถ้าหากเราได้รับการจัดสรร ไม่ใช่เป็นเพราะ หุ้นขายไม่ออก แต่เป็นเพราะเราบังเอิญโชคดี แบบนี้โอกาสได้กำไรในวันเปิดเทรดมีสูงครับ

0289: เจ็ดแนวโน้มใหญ่ในปัจจุบัน

การมอง Demand Trends ถือเป็นวิธีหนึ่งที่สำคัญในการพิจารณาเลือกลงทุน วิธีมอง Demand Trends ที่ดีอย่างหนึ่งก็คือ การมองแนวโน้มใหญ่ (MegaTrend) 

แนวโน้มใหญ่คือ ความเปลี่ยนแปลงสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมซึ่งส่งผลต่อความต้องการสินค้าและบริการในภาคธุรกิจ แนวโน้มใหญ่มักเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันนานหลายปี ไม่ใช่แค่ชั่วคราวแล้วหายไป (อย่างนั้นจะเรียกว่าเป็น Fads หรือ Fashions) ดังนั้นการวิเคราะห์แนวโน้มใหญ่เป็นวิธีที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว แนวโน้มใหญ่ที่ผมพอจะมองเห็นในปัจจุบันมีดังนี้ (หลายอย่างเกิดขึ้นมาตั้งนานมากแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังดำเนินอยู่)  

1. Aging Society ปรากฏการณ์ที่คนแก่กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อคิดเป็นร้อยละของประชากรทั่วโลก ทำให้สินค้าที่เน้นขายคนแก่ย่อมมี Demand ที่เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต อาทิเช่น ธุรกิจโรงพยาบาล เป็นต้น  

2. Free Trade ข้อตกลงเขตการค้าเสรีที่กำลังมีผลบังคับใช้มากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยทำให้การค้าการลงทุนข้ามชาติมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะต้นทุนที่ต่ำลง ส่งผลดีต่อ ธุรกิจนำเข้า ส่งออก รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทั้งหลาย  

3. CyberWorld ผู้คนใช้เวลากับอินเตอร์เน็ตและมือถือแต่ละสัปดาห์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลดีต่อธุรกิจให้บริการเน็ต เครือข่ายมือถือ ผู้นำเข้าอุปกรณ์มือถือ สินค้าไอที ธุรกิจเกมออนไลน์ ฯลฯ ในขณะที่ ธุรกิจเพลง โทรทัศน์ และธุรกิจหนังสือพิมพ์ ล้วนได้รับผลกระทบจากแนวโน้มอันนี้

4. Global Warming ภาวะโลกร้อนได้กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวเรื่องสิ่งแวดล้อมไปทั่วโลก ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก การกำจัดขยะ และการจัดการสิ่งแวดล้อม 

5. Energy Constraints การที่คนยากจนในจีนและอินเดียหลายร้อยล้านคนกำลังมีฐานะที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วได้ทำให้โลกมีการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวกับทรัพยากรทั้งหลาย เช่น สำรวจน้ำมัน เหมืองแร่ ฯลฯ

6. Food Constraints ภาวะอากาศแปรปรวน ผู้คนมีฐานะดีขึ้น พื้นที่การเกษตรที่จำกัด และการเอาพืชไปใช้เป็นพลังงานทางเลือก ได้ทำให้เกิดภาวะอาหารขาดแคลน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรพลอยได้รับประโยชน์จากแนวโน้มนี้

7. Modern Trade แนวโน้มที่ผู้คนนิยมซื้อสินค้าในห้างมากขึ้นเรื่อยๆ ซื้อของในตลาดสดน้อยลง เพราะชีวิตที่เร่งรีบ ต้องการความสะอาด เสพติดโปรโมชั่น ช่วยทำให้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่และห้างสรรพสินค้ามีการเติบโตได้ต่อเนื่อง

ข้อดีของการลงทุนตามแนวโน้มใหญ่คือเมื่อเศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหาสินค้าเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบไม่ต่างกับธุรกิจอย่างอื่น แต่เวลาทุกอย่างกลับมา พวกมันมีโอกาสมากกว่าอย่างอื่นที่จะกลับมาได้ เพราะมันมีแนวโน้มเป็นพื้นฐานที่คอยรองรับอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนจะดู Demand Trends อย่างเดียวไม่ได้ ต้องดู Competitive Advantage ด้วย อย่างเช่น ในกรณีของโรงงานผลิตแก๊สโซฮอล แม้พลังงานทางเลือกจะเป็นแนวโน้มใหญ่ แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐที่ขาดความชัดเจน และ Barrier to Entry ที่ต่ำ กลับทำให้ธุรกิจนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิดครับ เลือกหุ้นต้องพิจารณาทั้ง DT และ CA จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งเสียไม่ได้  

0288: the Consumer Syndrome

เราทุกคนเป็นผู้บริโภคกันอยู่แล้วตั้งแต่เกิด เวลาที่เราเปลี่ยนมาสวมหมวกนักลงทุนเพิ่มอีกใบ เราก็เลยพลอยติดนิสัยผู้บริโภคมาด้วย นิสัยของผู้บริโภคบางอย่างถือได้ว่าเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน

ทุกวันนี้คนเราแทบไม่ได้ซื้อสินค้าเพราะ functional ของสินค้ามากเท่ากับที่เราซื้อสินค้าเพราะสินค้านั้นตอบสนอง emotional needs ของเราได้ มนุษย์สมัยนี้หันมาอาศัยแบรนด์สินค้าที่เราใช้เป็นเครื่องมือในการบอกความเป็นตัวตนของเราให้คนรอบข้างได้รับรู้ทางอ้อม คนที่ใช้รถเบนซ์กำลังบอกคนรอบข้างว่า I am wealthy  คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ตราผลไม้กำลังบอกคนรอบข้างว่า I am artistic เป็นต้น ถ้าให้ คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ตราผลไม้เดินถือคอมพิวเตอร์ตราหน้าต่างไปมาตามท้องถนน พวกเขาจะรู้สึกกล้ำกลืนอย่างมาก เพราะเท่ากับเป็นการฉายภาพลักษณ์ที่ไม่ตรงกับตัวเองให้คนรอบข้าง

พฤติกรรมอันนี้จะติดมาด้วยเวลาที่เรามาเป็นนักลงทุน เราจะเผลอเลือกหุ้นโดยดูว่าเมื่อถือหุ้นนั้นแล้วจะช่วยให้เราบอกความเป็นตัวตนของเราได้หรือไม่ เราจะรู้สึกไม่อยากจะถือหุ้นนั้น แม้ว่าจะมีโอกาสทำกำไรก็ตาม เพราะเราไม่อยากให้คนที่ถามเราว่าเราถือหุ้นอะไรอยู่บ้างเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนของเราโดยเชื่อมโยงสินค้าของหุ้นที่เราถือเข้ากับความเป็นตัวเรา เรื่องนี้นับว่าอันตราย เพราะจะทำให้เรามองข้ามประเด็นเรื่องการทำกำไรขาดทุนของบริษัทไป คนที่อยากเป็นเจ้าของสายการบินแห่งชาติซึ่งติดอันดับสายการบินดีเด่นบ่อยๆ คงรู้แล้วว่าภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์กับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นเป็นคนละเรื่อง  

ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าไม่มีทางสู้รถเบนซ์ได้ เพราะรถคันละล้านต่อให้ดีแค่ไหนก็คงสู้รถคันละสิบล้านไม่ได้อยู่แล้ว แต่หุ้นโตโยต้ากลับเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างงดงามในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา (แม้ว่าปีนี้จะเริ่มแย่ก็ตาม) ในขณะที่หุ้นเดมเลอร์กลับเป็นหุ้นที่สร้างความผิดหวังให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน การตัดสินใจเลือกหุ้นโดยเปรียบเทียบตัวผลิตภัณฑ์นับว่าเป็นวิธีการที่ผิด แม้รถโตโยต้าจะสู้รถเบนซ์ไม่ได้ แต่โตโยต้าก็เป็นรถที่ตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรถยี่ห้ออื่นที่เจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียวกัน โรงงานของโตโยต้าได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกถึงขนาดตะวันตกยังต้องเอาวิธีการของโตโยต้าไปเขียนตำรา คุณค่าของบริษัทโตโยต้าไม่ได้อยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์แต่อยู่ที่การเป็นเจ้าของนวัตกรรมในกระบวนการผลิต การคัดเลือกหุ้นโดยตัดสินจากตัวผลิตภัณฑ์จึงนับว่าหลงประเด็น การที่เราคิดว่าสินค้าของบริษัทไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าสินค้าจะขายไม่ได้ เพราะเราอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของบริษัท จึงไม่ควรใช้ตัวเราเองเป็นมาตรวัด 

การเลือกหุ้นไม่เหมือนกับการเลือกสินค้า การซื้อหุ้นคือการซื้อตัวธุรกิจของบริษัท ไม่ใช่การซื้อสินค้าของบริษัทนั้นๆ ดังนั้นการที่คุณไม่ชอบสินค้าของบริษัทไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องไม่ชอบธุรกิจของบริษัทด้วย มันเป็นคนละเรื่องกัน

เวลาซื้อหุ้นต้องคิดแบบพ่อค้า อย่าคิดแบบผู้บริโภค พ่อค้ายังอาจได้หรือเสียเงิน แต่ผู้บริโภคเสียเงินเสมอ ถ้าอยากบอกความเป็นตัวตนของเราให้คนรอบข้างได้รับรู้ ควรทำผ่านการใช้สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ เท่านั้นจะดีกว่า เพราะการบริโภคเป็นเรื่องของการหาความสุขใส่ตัว แต่การลงทุนเป็นเรื่องของการสร้างผลตอบแทนทางการเงิน ตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่ competitive ไม่เหมาะกับการใช้ความรู้สึกตัดสินครับ

0287: Contrarian Investing

ในตลาดหุ้นมีแนวการลงทุน 2 แนวที่ไปคนทาง คือ แนวโมเมนตัม (Momentum Investing) กับ แนวคอนทราเรียน (Contrarian Investing)

แนว momentum อาศัยข้อสังเกตที่ว่า เวลาหุ้นจะขึ้น 100% นั้น หุ้นจะไม่ขึ้นวันเดียว 100% แต่จะขึ้น วันละ 5% บ้าง 10% บ้าง สลับกับปรับฐานบ้าง จนกว่าจะไปถึง 100% คล้ายกับว่า ราคาหุ้นมีความเฉื่อยแบบมวลสาร ดังนั้น ถ้าอยู่ดีๆ หุ้นขึ้นไป 5% ก็อาจจะยังซื้อได้อยู่ เพราะอาจจะยังมีโมเมนตัมเหลืออยู่ คนที่เล่นแนวนี้จะเล่นตามตลาด คือ เห็นหุ้นขึ้น ก็ยิ่งซื้อเพิ่ม อาจเรียกว่าเป็นพวก “ชาวไร่” (ไล่ราคา) ก็ได้

ส่วนแนว contrarian จะคิดตรงข้าม กล่าวคือ ถ้าหุ้นตกมากๆ แสดงว่า ตลาดเกิดความ “กลัว” ขึ้น ดังนั้นหุ้นน่าจะทำให้หุ้นมีราคาถูก คนที่เล่นแนวนี้จะชอบเข้าไปซื้อหุ้นที่ตกสวนกระแสตลาด อาจเรียกว่าเป็นพวก “ชาวสวน” ก็ได้ 

ผมเห็นนักลงทุนมือใหม่มักชอบเป็น contrarian ในขณะที่ พวก momentum มักเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์มาก เพราะ momentum เล่นยาก เนื่องจาก ครั้งที่กำไรจะมีน้อยกว่าครั้งที่ขาดทุน แต่เวลาได้กำไรที จะได้เยอะมาก คนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอ จะเล่นแบบนี้ไม่ได้

เวลาเป็น contrarian นั้น ต้องมีเชิงด้วย ไม่ใช่เห็นหุ้นตกก็วิ่งเข้าไปรับเลย บอกว่าตลาดตกใจแล้ว ส่วนใหญ่แล้ว เวลาหุ้นตกใหม่ๆ จะมีคนอยากเป็น contrarian เยอะมาก ทำให้ contrarian เป็นกลยุทธ์ใช้ไม่ได้ผล เพราะถ้าคนส่วใหญ่เป็น contrarian การเป็น contrarian จะกลายเป็นการทำตามตลาดไปซะงั้น แต่เมื่อหุ้นตกต่อไปเรื่อยๆ contrarian จะเริ่มลดจำนวนลง สักพักหนึ่งจะแทบไม่เหลือใครที่อยากเป็น contrarian แล้ว เวลาเช่นนี้ต่างหากที่ควรควักกลยุทธ์แบบ contrarian มาใช้ ห้ามใช้พร่ำเพรื่อ กลยุทธ์ใดๆ ย่อมใช้ไม่ได้ผล ถ้าหากมีคนใช้กลยุทธ์นั้นอยู่ในตลาดมากเกินไป 

Sir John Templeton ปรมาจารย์แห่ง contrarian (contrarian ตัวพ่อ) บอกว่า นักลงทุนควรจะเป็น contrarian ก็ต่อเมื่อตลาดมองโลกแง่ร้ายขั้น “สุดขีด” แล้วเท่านั้น (maximum pessimism) ในรอบหลายๆ ปี Templeton จึงจะเข้าไปเก็บของถูกสักครั้ง นี่เรียกว่ารอให้ contrarian ตายหมดแล้วจริงๆ ท่านจึงค่อยลุกขึ้นมาเป็น contrarian

โดยส่วนตัว ผมไม่ชอบแนว contrarian เท่าไร (พอๆ กับที่ไม่ชอบแนว momentum ด้วย) ผมคิดว่าเราควรมีความคิดที่เป็นอิสระจากตลาดมากกว่าซึ่งไม่ใช่ การเป็น contrarian เพราะ contrarian เห็นว่าตลาดเป็นอย่างไร ก็ทำตรงข้าม จึงเป็นการขึ้นกับตลาดรูปแบบหนึ่ง การคิดอย่างเป็นอิสระจริงๆ หมายความว่า ในบางครั้งเราก็อาจเห็นด้วยกับตลาด ในบางครั้งเราก็เห็นแย้งกับตลาด ขึ้นอยู่กับข้อมูลและเหตุผลมากกว่า 

0286: beware of the lemmings inside us

สมัยผมเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ มีเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง เจอหน้ากันทีไรต้องถามผมทุกทีว่าผมถือตัวไหนอยู่ ผมสังเกตว่า เขาไม่ได้ถามผมคนเดียว แต่เขาถามทุกคนที่เขารู้ว่าเล่นหุ้นอยู่ 

ผมมารู้ทีหลังว่า เขาจะไม่กล้าซื้อหุ้นที่ไม่มีคนรอบข้างคนไหนถืออยู่ด้วยเป็นอันขาด ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาพบว่า หุ้น XYZ เป็นหุ้นที่มีคนรอบข้างหลายคนกำลังถืออยู่ เขาจะรีบเข้าไปถือ XYZ ทันที

จากนั้นทุกคนที่ถือ XYZ จะโดนเพื่อนของผมโทรเช็คบ่อยๆ ทุกครั้งที่ตลาดปรับตัวลงแรงๆ เขาจะรีบโทรมาทันทีเพื่อถามว่ายังถือ XYZ อยู่หรือไม่ จนตอนหลังเวลาตลาดลงแรงทีไร ผมลองเดาเล่นๆ ว่าประเดี๋ยวคงกรี๊งกร๊างมาแน่ๆ ก็ปรากฏว่าเป็นจริงทุกที แต่ไม่ว่าผมจะอธิบายเหตุผลที่ยาวเป็นหางว่าวแค่ไหนว่า ทำไมผมจึงยังถืออยู่ หรือทำไมผมจึงขายไปแล้ว คำอธิบายเหล่านั้นก็ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าผมบอกว่าผมขายไปแล้ว เขาก็จะขายด้วย แต่ผมยังถืออยู่ เขาก็จะถือต่อ (แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะถ้าเขาโทรถามคนอื่นแล้วคนอื่นขายเป็นส่วนใหญ่ เขาก็จะขายอยู่ดี) 

ผมว่าลึกๆ แล้วทุกคนมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับเพื่อนของผมคนนี้แหละครับ แต่อาจจะไม่มากขนาดนี้  ในเวลาที่คนเราต้องเผชิญความไม่แน่นอน เรามักรู้สึกอุ่นใจมากกว่า ถ้าได้รู้ว่า ยังมีคนอีกหลายคนที่ลงเรือลำเดียวกับเรา เราเกลียดที่สุดหากต้องจมน้ำโดยที่พบว่า มีเรือของเราเพียงลำเดียวเท่านั้นที่จม ส่วนเรือลำอื่นๆ ยังลอยอยู่ครบ “ทุกลำ” เราเกลียดสายตาของทุกคนที่จับจ้องมองเราจมน้ำไปอย่างช้าๆ ด้วยความเห็นใจแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เราเกลียดตัวเองที่ตกข่าว และเมื่อเราจมน้ำเสร็จแล้ว พวกเขาก็พา”กัน”แล่นเรือของพวกเขามุ่งหน้าต่อไป ทิ้งให้ร่างไร้วิญญาณของเราจมสู่ก้นมหาสมุทร

การที่มีคนจำนวนมากถือหุ้นตัวนั้นไม่ได้ช่วยทำให้หุ้นตัวนั้นปลอดภัยขึ้น มันเป็นเพียงแค่”ความรู้สึก”ว่าปลอดภัยเท่านั้น  ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นจะขาดทุน ดังนั้นการเลือกถือแต่หุ้นที่คนมีคนถือมากๆ กลับทำให้มีโอกาสขาดทุนมากกว่า ฟองสบู่ในตลาดหุ้นก็เกิดจากการที่มนุษย์เราชอบทำอะไรตามคนส่วนใหญ่นี่แหละ 

ถ้าเราติดนิสัยชอบหา “ความอุ่นใจ” จนปล่อยให้ความต้องการนี้ครอบงำพฤติกรรมการลงทุนทุกอย่างของเรา ในแต่ละวัน เราจะมัวแต่เสียเวลาไปกับการแสวงหาความอุ่นใจให้มากขึ้น เวลาโทรไปถามนักวิเคราะห์ตามรายการวิทยุว่า “ติด XYZ อยู่ ควรถือต่อหรือขายดี?” แทนที่เราจะอยากได้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา เรากลับต้องการเพียงแค่ให้มีคนสักคนบอกเราว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ Everything will be alright หุ้นของคุณป้าพื้นฐานดีอยู่” นักวิเคราะห์คนไหนปลอบนักลงทุนเก่ง เราก็จะตามไปฟังเขาบ่อยๆ แต่ถ้านักวิเคราะห์พูดตรงไปตรงมา ทำให้เราใจเสีย เราก็จะพยายามหลีกเลี่ยงนักวิเคราะห์คนนั้น สุดท้ายแล้ว การแสวงหาแต่ความอุ่นใจจะทำให้เรากลายเป็นนักลงทุนที่ปฏิเสธการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงทุกรูปแบบ  

ถ้าเราสามารถลดความต้องการทางใจที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ออกไปเสียบ้าง เราจะเป็นคนที่สามารถใช้เหตุผลได้มากขึ้น เมื่อที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เราก็จะปรับตัวได้ดี เพราะเรากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดก็ตาม    

It’s time to face the music!

0285: adaptive vs. rational

สมมติฐานเกี่ยวกับการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนของมนุษย์มี 2 แบบด้วยกัน แบบแรกเชื่อว่ามนุษย์ตัดสินใจแบบ Adaptive แบบที่สองเชื่อว่ามนุษย์ตัดสินใจแบบ Rational

Adaptive คือ เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ ถ้าข้อมูลใหม่เปลี่ยนแปลงไปทางไหน ก็ค่อยปรับลดประมาณการไปทางนั้นลงทีละนิด เช่น GDP ปีล่าสุดอยู่ที่ 3% ก็ประมาณว่า GDP ปีหน้าจะอยู่ที่ 2.5-3.5% ด้วย ถ้า GDP ไตรมาสล่าสุดออกมาลดลง ก็ปรับประมาณการ GDP ปีหน้าใหม่ให้ลดลงตาม เช่น 2.3-3.3% เป็นต้น พูดอีกอย่างก็คือ ประมาณการจะค่อยๆ เรื่อยไปตามตัวเลขใหม่ที่ออกมาทีละนิด

Rational คือ เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ก็นำข้อมูลทั้งหมดมาประมวลแล้วตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับอนาคตขึ้นมาจากข้อมูลเหล่านั้น เช่น แม้ GDP ปีล่าสุดจะอยู่ที่ 3% แต่ถ้ามีข่าวว่าสหรัฐฯ มีวิกฤตซับไพร์ม ทำให้เชื่อว่ากำลังซื้อจากต่างประเทศน่าจะกำลังหายไปเร็วๆ นี้ ประเทศไทยพึ่งการส่งออกถึง 70% เพราะฉะนั้น ปีหน้าคงกระทบหนัก แบบนี้ไม่ต้องรอให้ GDP รายไตรมาสออกมาแล้วค่อยๆ ปรับประมาณการลงตาม แต่มองข้ามช็อตไปได้เลยว่า GDP ปีหน้าน่าจะติดลบมากแน่นอนเช่น -4% แบบนี้เป็นต้น

ทุกวันนี้ดูเหมือนหน่วยงานของรัฐฯ จะตั้งประมาณการแบบ Adaptive เพราะตอนที่เกิดซับไพรม์ใหม่ๆ ก็บอกว่า จีดีพีปีหน้าน่าจะลดลง แต่คงเป็นบวก เช่น 3% แต่พอถึงไตรมาสสี่ออกมาติดลบเยอะมากก็ปรับประมาณการปีหน้าใหม่เป็น 0-2% ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ พอเริ่มเห็นตัวเลขไตรมาสหนึ่งว่าจะแย่กว่าไตรมาสสี่ก็บอกว่าจะพิจารณาปรับประมาณการปีหน้าใหม่ให้อยู่ในแดนลบ การค่อยๆ ปรับประมาณการลงทีละนิดแบบนี้อาจมีข้อดีตรงที่ไม่ทำให้คนตกใจมากเกินไป

แต่ดูเหมือนว่าตลาดทุนจะตัดสินใจแบบ Rational เพราะตลาดปรับตัวลงมารวดเดียวอย่างหนักตั้งแต่ตอนครึ่งหลังของปีที่แล้วไปแล้ว ตลาดไม่รอให้ตัวเลขจริงออกมาแย่ลง ก่อนแล้วค่อยปรับตัวลงตาม

ถ้านักลงทุนตัดสินใจแบบ Adaptive ตอนที่ตลาดหุ้นดิ่งอย่างหนักเมื่อปีที่แล้ว แต่งบไตรมาส 4 ออกมายังดีอยู่ นักลงทุนก็อาจจะคิดไปว่า เป็นเรื่องของอารมณ์ตลาด พื้นฐานไม่เห็นเปลี่ยนมากขนาดนั้น ทำให้นักลงทุนเข้าไปช้อนซื้อ แต่เมื่อถึงเวลานี้ เราก็ตระหนักได้แล้วว่า ตลาดคิดแบบ Rational สถานการณ์ของโลกไม่ได้เลวร้ายน้อยไปกว่าราคาหุ้นเลย และดูเหมือนจะเลวร้ายลงได้อีกมาก ในตลาดหุ้น ผลประกอบการมักปรับตัวตามหลังราคาหุ้นเสมอ ถ้าใครจะต้องรอให้งบการเงินแสดงว่ากำไรลดลงก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้หมดแล้ว

งบการเงินมีไว้เพื่อตรวจสอบความผิดปกติในบริษัทมากกว่าที่จะใช้เพื่อตัดสินใจลงทุนหรือวัดมูลค่าหุ้น สิ่งที่ตลาดสนใจคือผลประกอบการจะวิ่งไปทางไหนในอนาคต ไม่ใช่ผลประกอบการเป็นอย่างไรในปัจจุบัน 

  

0284: EMH

หนึ่งในเรื่องที่เถียงกันมากที่สุดตลาดกาลเกี่ยวกับตลาดหุ้นคือ สมมติฐานเรื่องตลาดมีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis)

นักวิชาการมักสนับสนุน EMH เพราะเป็นแนวคิดที่เข้ากันได้ดีกับเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ในขณะที่ คนในวอลล์สตรีทมักคัดค้าน EMH เพราะการยอมรับ EMH ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพยายามทำอยู่ทุกวันนั้น (พยายามชนะตลาด) เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์

ปัญหาก็คือ เราไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าตลาดมีประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เนื่องจากเราไม่สามารถแยก rational errors ออกจาก irrational errors ได้ อย่างในกรณีที่ตลาดแนสเด็กฟองสบู่แตกเมื่อปี 2001 จะฟันธงว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพก็ไม่ได้ เพราะอาจเป็น rational errors ก็ได้ คำว่า rational errors หมายความว่า ในการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนนั้น บางครั้งการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลก็อาจให้ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้ว่าเหรียญอันหนึ่งโดนถ่วงให้ออกหัว 55% การตัดสินใจที่มีเหตุผลคือการทายว่าเหรียญนั้นจะออกหัวทุกครั้ง แต่ในการทอยเหรียญหนึ่งครั้ง เหรียญอาจจะออกก้อยก็ได้ แบบนี้เรียกว่าเป็น rational error (ความผิดพลาดอย่างมีเหตุผล)

ในเมื่อ EMH พิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือแค่เชื่อไปทางใดทางหนึ่ง แต่วิธีที่ดีกว่าคือแทนที่เราจะเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแบบหัวชนฝา เราน่าจะฟังหูไว้หูมากกว่า เพราะยังไงมันก็พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะเลือกข้างไหนก็เป็นได้แค่ความเชื่อเท่านั้น

อันที่จริง นักลงทุนที่พยายามเอาชนะตลาดด้วยการวิเคราะห์พื้นฐาน เพราะเชื่อแบบสุดโต่งว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงนั้นนับเป็นความเชื่อที่ไม่สมเหตุผล เพราะถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง การพยายามวิเคราะห์พื้นฐานก็จะไร้ประโยชน์พอๆ กับการเชื่อว่าตลาดมีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์เช่นกัน  เพราะถ้าตลาดไม่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง ราคาหุ้นย่อมวิ่งไปอย่างไรก็ได้ ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานและไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องกลับมาหาพื้นฐานสักวันหนึ่งเลยด้วย การวิเคราะห์พื้นฐานย่อมสูญเปล่าเช่นเดียวกัน

คำถามที่ตรงประเด็นมากกว่าจึงไม่ใช่คำถามที่ว่า ตลาดมีประสิทธิภาพหรือไม่? แต่คือคำถามว่า ตลาดมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน? มากกว่า ตลาดควรจะมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับหนึ่งมากกว่าที่จะมีประสิทธิภาพโดยสมบูรณ์หรือไม่มีประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง มิฉะนั้นแล้ว ความพยายามที่จะเอาชนะตลาดด้วยวิธีการใดๆ ย่อมไร้ผลอยู่ดี

ตลาดหุ้นจะมีประสิทธิภาพสูงได้ต้องอาศัย smart investors ซึ่งหมายถึง นักลงทุนที่ลงทุนโดยอาศัยข่าวเป็นหลัก แทนที่จะใช้ความรู้สึก ยิ่งในตลาดหุ้นมี smart investors มากเท่าไร ตลาดก็จะยิ่งซึมซับข่าวได้เร็วมากเท่านั้น ตลาดหุ้นที่ sophisicated มากๆ อย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่หุ้นบูลชิพแต่ละตัวอาจมี analyst cover มากถึง 150 คน ราคาหุ้นจะ discount ข่าวอย่างรวดเร็วมากๆ ทำให้การซื้อหุ้นโดยอาศัยการอ่านพบข่าวดีเกี่ยวกับบริษัทในนสพ.จะไม่ได้ผล เพราะกว่าที่ข่าวนั้นจะมาอยู่บนหน้านสพ. ราคาหุ้นก็โดนคนอื่น discount ข่าวนั้นไปหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นตลาดหุ้นที่ค่อนข้างด้อยพัฒนาหรืออยู่ในภาวะซบเซาอย่างรุนแรง การอ่านเจอข่าวดีในนสพ.แล้วรีบซื้อหุ้นก็อาจยังชนะตลาดได้ ในช่วงที่ตลาดซบเซาอย่างหนักเช่น ปี 2544-45 ช่วงนั้นนักลงทุนออกไปจากตลาดเป็นจำนวนมาก ช่วงนั้นตลาดน่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าช่วงปี 2547-48 ซึ่งมีนักลงทุน active อยู่เต็มตลาดไปหมด

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ตลาดมี smart investors มากแค่ไหน ตลาดก็ทำได้เพียงมีประสิทธิภาพสูงในการซึมซับข้อมูล (informationally efficient) เท่านั้น นักลงทุนยังคงมีโอกาสชนะตลาดได้ด้วยการ “วิเคราะห์” ข้อมูลได้เก่งกว่าตลาด เช่น ตลาดแปลความว่าเป็นข่าวร้าย แต่เรามองว่าเป็นข่าวดี ถ้าเราคิดถูก เราก็มีโอกาสชนะตลาด นั่นคือ แม้ราคาหุ้นจะซับข่าวได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็อาจเป็นการแปลความข่าวผิดก็ได้ ดังนั้น คนที่ “วิเคราะห์” เก่งกว่าคนทั่วไปในตลาด ก็มีโอกาสที่จะชนะตลาดได้ทั้งๆ ที่รู้ข่าวช้ากว่าคนอื่นเสมอ

แต่ทุกวันนี้ เหตุสำคัญที่สุดที่ยังคงทำให้ตลาดหุ้นเกิด booms และ bursts อยู่เสมอไม่ว่าตลาดจะซึมซับข้อมูลได้เร็วแค่ไหน คือ herd instincts ในตัวของนักลงทุน มนุษย์เราไม่ว่าจะเจริญขึ้นหรือฉลาดขึ้นแค่ไหน ก็ยังคงมีสัญชาตญาณของการแห่ตามกันอยู่เหมือนเช่นเดิม herd instincts เป็น abnormality ในตลาดที่ทนทานต่อการอาบริทาจ ฟองสบู่จะเกิดขึ้นเสมอเมื่อนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด shutdown สมองของตัวเองแล้วหันมาพึ่งความเห็นคนอื่นในการตัดสินใจซื้อหุ้นแทน เรามักรู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่ามีคนอื่นที่ตัดสินใจแบบเดียวกับเราอยู่เยอะๆ และนั่นก็คือช่วงเวลาที่อันตรายมากที่สุดด้วย

ตลาดหุ้นจะรักษาเสถียรภาพไว้ได้ตราบใดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอยู่ เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คิดหรือเชื่อไปทางเดียวกันหมด เมื่อนั้นจะเกิดภาวะที่เรียกว่า diversity breakdown ซึ่งจะตามมาด้วย booms และ bursts ในตลาดหุ้นเสมอ หุ้นที่ไม่เหลือใครเลยในตลาดที่คิดต่างว่าไม่ดี ราคาหุ้นจะลอยระริ่ว ความเห็นที่แตกต่างกันในตลาดจะคอยช่วยดึงราคาหุ้นไว้ไม่ให้สุดโต่ง ถ้าอยากเอาชนะตลาด นอกจากการวิเคราะห์ที่เหนือกว่าแล้ว การมีจิตใจที่สามารถเอาชนะ herd instincts ในตัวเองได้ ถือได้ว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีเช่นกัน

เมื่อมองในแง่นี้ การรณรงค์ให้นักลงทุนหันมาลงทุนระยะยาวกันหมดถือว่าเป็นการทำลายตลาดหุ้นอย่างหนึ่งเหมือนกัน เพราะถ้าทุกคนเป็นนักลงทุนระยะยาวกันหมด หุ้นจะถูกในระยะสั้น และแพงในระยะยาว ตลาดหุ้นที่ดีจะต้องมีนักลงทุนที่มีแนวทางที่หลากหลายอยู่ ร่วมกัน กล่าวคือ ต้องมีทั้งนักเก็งกำไรและนักลงทุนอยู่ในตลาด ความคิดที่หลากหลายจะคอยป้องกันตลาดหุ้นไว้ไม่ให้เกิดสภาวะ diversity breakdown

0283: หุ้นที่ห้ามซื้อ

 

ในวิชาการทางด้านการพนัน มีศัพท์เทคนิคอยู่คำหนึ่งคือคำว่า Parimutuel

การพนันบางอย่างเป็นการพนันแบบ Parimutuel หมายความว่า คุณจะได้ผลตอบแทนเท่าไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณแทงถูกหรือไม่อย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่ามีคนอื่นที่แทงถูกเหมือนคุณมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าคุณแทงถูก แต่คนส่วนใหญ่ก็แทงเหมือนกับคุณ อัตราต่อรองจะถูก bid ขึ้นไปสูงเสียจนคนที่แทงถูกแทบจะไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลย ตัวอย่างของการพนันแบบ Perimutuel ก็คือ ม้าแข่ง รวมถึงการพนันฟุตบอลแบบที่อัตราต่อรองไหลไปเรื่อยๆ ด้วย 

ที่พูดถึงคำๆ นี้ก็เพราะอยากจะบอกคุณว่า ตลาดหุ้น ก็มีลักษณะเป็น Parimutuel ด้วย การเลือกหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุด ยังไม่สามารถทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ เพราะถ้าหากนักลงทุนคนอื่นๆ ในตลาดก็รู้เหมือนกับคุณ ราคาหุ้นจะ bid ขึ้นไปจนเกินพื้นฐานเสมอ การซื้อหุ้นเหล่านั้นที่ราคาเกินพื้นฐานจึงทำให้ขาดทุนมากกว่าที่จะกำไร ทั้งที่หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นพื้นฐานดี

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าเปรียบกับคณิตศาสตร์ก็เหมือนเป็นสมการสองชั้น นอกจากกิจการที่ลงทุนจะเป็นกิจการที่พื้นฐานดีแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดจะต้องยังไม่เห็นความดีนั้นด้วย มิฉะนั้นลงทุนไปก็ไม่ได้อะไร เพราะราคาหุ้นที่ลงทุนจะไม่ถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดีของมัน

ในตลาดหุ้น หุ้นที่เป็นหลุมพรางของนักลงทุนจึงได้แก่หุ้นของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นการทั่วไปในตลาดว่ากิจการของหุ้นดีมากเสียจนหาข้อเสียใดๆ ไม่ได้เลย ปกติแล้วหุ้นทุกตัวในตลาดจะมีข้อเสียบางอย่างอยู่ ข้อเสียคือสิ่งที่ช่วยทำให้ราคาหุ้นมีแนวต้าน เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวใดก็ตามในตลาด สามารถสร้างสตอรี่เพื่อแก้ต่างจุดอ่อนที่อยู่ในความรู้สึกของนักลงทุนทั่วไปในตลาดได้หมดทุกจุด ราคาของหุ้นตัวนั้นก็จะทะยานขึ้นทันทีอย่างกับติดเทอร์โบเนื่องจากหุ้นตัวนั้นจะไม่มีอะไรเป็นแนวต้านอีกต่อไป โดยที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นฐานของหุ้นจะไร้ที่ติขนาดนั้นจริงหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แค่ไร้ที่ติในความคิดของนักลงทุนทั่วไปในตลาด ราคาหุ้นก็จะไร้แนวต้านทันที

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราได้พบเห็น “หุ้นจรวด” เหล่านี้อยู่เป็นระยะๆ โดยมากแล้วมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากๆ หุ้นบางตัวจะถูกมองและเชียร์กันบ่อยๆ ว่าเป็นหุ้นเพียงไม่กี่ตัวในตลาดที่ธุรกิจของมันจะไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากเรื่องที่ทุกคนกำลังกังวลอยู่นั้น เมื่อกระแสจุดติด ราคาของหุ้นเหล่านี้จะวิ่งเร็วยิ่งกว่าติดเทอร์โบกลายเป็นว่าวที่ติดลมบน ยิ่งเรื่องที่ตลาดกังวลทำให้ดัชนีปรับตัวลงมากเท่าไรก็จะยิ่งทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นสวนตลาดมากขึ้นไปอีก เมื่อราคาหุ้นแข็งมาก นักลงทุนส่วนหนึ่งจะเข้ามาหลบภัยในหุ้นตัวนั้นเพื่อให้พอร์ตของตัวเองชนะตลาด ทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นยิ่งแข็งขึ้นไปอีกเป็นปฏิกิริยาย้อนกลับในเชิงบวก ความที่ราคาหุ้นไม่ลงเลย ทำให้ยิ่งมีนักลงทุนที่อยากเป็นเจ้าของหุ้นตัวนั้นเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นหุ้นแต่ถือแล้วสบายใจยิ่งกว่าพันธบัตร เวลานี้ฟองสบู่ได้ก่อตัวขึ้นมาแล้ว

การซื้อหุ้นเหล่านั้นในช่วงเวลาแบบนั้นเป็นเรื่องอันตรายที่สุด ราคาหุ้นอาจแข็งแกร่งอยู่อย่างนั้นได้เป็นปีๆ แต่ในวันที่ทุกอย่างปรากฏขึ้นมาว่ากิจการของหุ้นนั้นดีจริง แต่ไม่ดีมากขนาดที่จะ justify ราคาหุ้นที่สูงลิ่วขนาดนั้นได้ หุ้นมักจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงม้วนเดียวจบจนตั้งตัวไม่ทัน พูดง่ายก็คือตัวใครตัวมันล่ะครับ (the party is over)

ในตลาดหุ้น หุ้นที่ห้ามซื้อเด็ดขาดจึงได้แก่ หุ้นที่ไม่มีข้อเสียใดๆ เลย เหมือนการแท้งม้าตัวที่ทุกคนเชื่อว่าจะเข้าวินจะไม่ได้ประโยชน์อะไร วิธีการเล่นหุ้นแบบหนึ่งที่จะล้มเหลวเสมอคือ ซื้อหุ้นที่นักวิเคราะห์ทุกสำนักแนะนำให้ “ซื้อ” เพราะเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนในตลาดเห็นด้วยว่าดีแล้ว ย่อมไม่เหลือใครในตลาดอีกที่อยากได้หุ้นตัวนั้น แต่ยังไม่ได้ซื้อ หุ้นจึงแทบไม่เหลือแรงส่งขึ้นไปได้อีกแล้ว นอกจากรอเวลาที่จะร่วงลงมาเมื่อใครสักคนที่มีหุ้นนั้นเริ่มอยากขายทำกำไรออกมา

นักลงทุนที่ดีต้องทำตัวเหมือนคนที่ยึดอาชีพเป็น “แมวมอง” แมวมองเลือกที่จะทุ่มให้กับคนที่ยังไม่ดังแต่มีแววว่าจะดังเท่านั้น เมื่อคนนั้นกลายเป็นคนดังขึ้นมาชั่วข้ามคืน แมวมองก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากความ “ตาถึง” ของเขา ในขณะที่ “คนดู” สนใจกันแต่ดาราที่ดังแล้ว ยิ่งดังเท่าไรยิ่งชอบ คนดูจึงต้องเป็นฝ่ายเสียเงินตลอด (ค่าบัตรคอนเสิร์ต ค่าตั๋วหนัง ฯลฯ) หุ้นที่น่าลงทุนกว่าคือหุ้นที่ยังมีอะไรบางอย่างที่ไม่ดีอยู่ แต่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในอนาคต ถ้าเราเลือกซื้อแต่ดอกไม้ที่มีคนคัดมาให้เราแล้วเราจะได้ดอกไม้ที่ดีก็จริง แต่เราจะต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้คนคัดดอกไม้เสมอ สู้ทำตัวเป็นคนคัดดอกไม้ในตลาดหุ้นไม่ดีกว่าหรือครับ   จบข่าว

0282: ระยะหวังผล

เวลาซื้อหุ้น คนเราจะมี “ระยะหวังผล” อยู่โดยที่ไม่รู้ตัว…

ระยะหวังผล คือ ระยะที่ในใจของเราเริ่ม “ตัดสิน” ว่า การตัดสินใจซื้อหุ้นครั้งนั้น เราคิดถูกหรือผิด?

ถ้ายังไม่ถึงระยะหวังผล แม้หุ้นยังแดงอยู่ เราก็มักยังไม่รู้สึกอะไร เรายังคงเต็มไปด้วยความหวัง แต่ถ้าหากถึงระยะหวังผลแล้ว ยังแดงอยู่ คราวนี้เราจะเริ่มรู้สึกผิดหวังกับหุ้นตัวนั้น บางคนจะเริ่มโทษตัวเอง บางคนจากที่เคยเสียดายไม่ยอมขาดทุนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นขายขาดทุนเท่าไรก็ได้ ขอให้ได้ขาย 

ระยะหวังผลของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนภายในวันเดียว  บางคนสองวัน บางคนสองสัปดาห์ บางคนสามเดือน บางคนหนึ่งปี คนที่หุ้นแดงติดต่อกันสิบปีแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลยก็มีด้วยเหมือนกัน ระยะหวังผลขึ้นกับบุคลิกและสไตล์การลงทุนของแต่ละคน

 

ผมชอบรูปกราฟราคาหุ้นในอดีตของหุ้นปูนใหญ่มาก เพราะมันบอกอะไรเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับคำว่าหุ้น  SCC เป็นหุ้นบูลชิพที่มีราคาผันผวนรุนแรงมากยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกาเสียอีก ลองจินตนาการเล่นๆ ว่ามีนักลงทุนสองคนซื้อ SCC พร้อมกันที่ลูกศรเบอร์ 1 ในภาพ ถ้านักลงทุนคนแรกมีระยะหวังผลเท่ากับหนึ่งปี ในขณะที่นักลงทุนอีกคนมีระยะหวังผลเท่ากับ 10 ปี นักลงทุนสองคนนี้ซื้อหุ้นตัวเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน ที่ราคาเดียวกันแท้ๆ แต่นักลงทุนคนแรกล้มเหลวอย่างแรงเพราะหนึ่งปีให้หลังราคาหุ้นร่วงลงไปมากกว่า 50% ในขณะที่ นักลงทุนคนที่สองประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะอีกสิบปีให้หลัง ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไปเกือบ 500%

ระยะหวังผลไม่ได้มีอิทธิพลแค่เฉพาะความรู้สึกทางจิตใจเท่านั้นแต่ยังมีผลต่อผลตอบแทนของคุณด้วย บอกได้เลยว่านักลงทุนคนแรกที่มีระยะหวังผลเท่ากับหนึ่งปีจะไม่มีวันได้ enjoy กับหุ้น 5 เด้ง เป็นอันขาด เนื่องจากแม้เขาจะยังไม่ได้ขาดขาดทุนออกไปแต่เมื่อหุ้นเริ่มเด้งกลับขึ้นมาผ่านต้นทุนเดิมของเขาในช่วงปี 2545 เขาก็จะรีบขายทิ้งทันที เพราะทนขาดทุนมานาน มันทนทรมานมาก สุดท้ายแล้วเขาจึงไม่ได้ enjoy ช่วง 5 เด้งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่ถึงสองปีหลังจากนั้น ในขณะที่นักลงทุนที่มีระยะหวังผลนานสิบปีจะไม่มีความรู้สึกอยากขายแบบรุนแรงทำให้ทนถือผ่านต้นทุนไปได้ ความรู้สึกว่าเราสำเร็จหรือล้มเหลวอันเนื่องมาจากระยะหวังมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อและขายหุ้นของเราโดยตรงมันจึงส่งผลต่อผลตอบแทนจริงๆ ของคุณด้วย

แม้ราคาหุ้นจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ผมก็เห็นว่า นักลงทุนก็ต้องมีระยะหวังผลบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่หุ้นทำนิวโลว์ติดต่อกัน 20 ปีแล้วยังปากแข็งบอกว่า ราคาหุ้นทำนายไม่ได้ มูลค่าหุ้นสูงกว่านั้นมาก อย่างนี้ผมว่าก็ดูจะหลอกตัวเองเกินไป แบบนี้ซื้อหุ้นอะไรก็ประสบความสำเร็จทั้งนั้น เรื่องสำคัญก็คือระยะหวังผลควรจะสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่เราซื้อหุ้นตัวนั้นเสมอ เช่น ถ้าซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะเก็งกำไรด้วยกราฟ อย่างนี้ระยะหวังผลก็ไม่ควรจะนาน ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงต่อเนื่อง ก็ควรรีบยอมรับความผิดพลาดจะได้คัดลอสได้โดยเร็ว ส่วนถ้าเป็นการลงทุนในแง่พื้นฐาน ซื้อเพราะมองว่าธุรกิจมี barries สูง ผู้บริหารเก่งและดี เหตุผลทำนองนี้ก็ควรมีระยะหวังผลที่ค่อนข้างนานมาก เพราะในระยะสั้น การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะไม่สะท้อนปัจจัยเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ภาวะตลาดหุ้นจะกลบปัจจัยเหล่านี้จนหมดสิ้น ที่พบเห็นได้บ่อยคือนักลงทุนที่ชอบมองพื้นฐานแต่กลับมีระยะหวังผลแค่สองอาทิตย์หรือหนึ่งเดือน แบบนี้เป็นความคาดหวังที่ unrealistic เป็นอย่างมาก เหมือนอย่างที่ ปีเตอร์ ลินซ์ บอกว่า ถ้าบังคับในนักลงทุนดูราคาหุ้นได้แค่หนึ่งครั้งทุกๆ หกเดือน ผลตอบแทนของนักลงทุนส่วนใหญ่จะดีขึ้นได้ทันที โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะการไม่ดูหุ้นบ่อยๆ เป็นกุศโลบายในการยืดระยะหวังผลที่สั้นเกินไปให้ยาวขึ้นได้นั่นเอง 

0281: ซื้อเฉลี่ยขาลง

เป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่นักลงทุนจะชอบซื้อเฉลี่ยขาลง…

ถ้าซื้อหุ้น A ที่ราคา 10 บาท แล้ววันต่อมาหุ้นตกทันทีเหลือแค่ 9 บาท เราจะอยากซื้อเฉลี่ยขาลง เพราะเหมือนได้ซื้อของถูกกว่าเดิม ที่สำคัญ ต้นทุนเฉลี่ยของเราจะลดลงด้วยทำให้เราขาดทุนลดลงจาก 10% เหลือแค่ 5% แบบนี้ใครจะไม่อยากทำ 

แต่เดี๋ยวก่อน โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี จริงอยู่ที่การ ซื้อเฉลี่ยขาลงทำให้เราขาดทุนน้อยลงเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของต้นทุน แต่สิ่งที่เราต้องนำไปแลกคือ Risk Exposure ที่เพิ่มขึ้น พอร์ตของเรามี Exposure ผูกกับหุ้นตัวนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว

ถ้าความซวยยังไม่หยุด หุ้น A ดันหล่นลงต่อไปเหลือแค่ 8 บาท คราวนี้เราจะมองเห็นได้ว่าเงินก้อนที่สองที่ใส่ลงไปไม่ได้ช่วยทำให้เงินก้อนแรกขาดทุนน้อยลงจริงอย่างที่เราคิด ตอนนี้กลายเป็นว่าเราขาดทุนทั้งเงินก้อนแรกและเงินก้อนที่สองด้วย แทนที่จะขาดทุนแค่ 2 บาทจากเงินก้อนแรกก้อนเดียวถ้าตัดใจไม่ซื้อเฉลี่ย ตอนนี้เรากลับต้องมาขาดทุนรวมทั้งหมดมากถึง 3 บาทแทน

เพราะฉะนั้น “การซื้อเฉลี่ยขาลงจึงเป็นการทำให้การขาดทุนเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลดลงแต่เมื่อคิดเป็นจำนวนเงินแล้วจะสูงขึ้น”

คนที่ชอบการซื้อเฉลี่ยขาลงมักจะแย้งว่า หุ้นดียิ่งตกเราต้องยิ่งซื้อ แต่พวกเขาลืมไปว่าตรรกนั้นจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ เราสามารถเลือกหุ้นได้ถูกต้องทุกครั้ง แต่อย่างที่บอกไปแล้วเมื่อครั้งก่อนว่าแม้แต่คนที่เก่งที่สุดยังเลือกหุ้นถูกแค่ 65% เท่านั้น การลงทุนและธุรกิจเป็นเรื่องที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก การเลือกหุ้นทุกครั้งจึงต้องเผื่อใจเสมอว่า ตลาดอาจเป็นฝ่ายคิดถูกในขณะที่เราคิดผิดเองก็ได้ ฉะนั้นเราต้องเผื่อกรณีที่เราอาจจะวิเคราะห์ผิดพลาดเอาไว้ด้วย มีโอกาสเสมอที่หุ้นที่เราซื้อจะมีพื้นฐานที่แย่ลงเรื่อยๆ อย่าง”ถาวร” ไม่เป็นการบังควรที่จะ เดิมพันกับหุ้นตัวที่ซื้อด้วยการซื้อเฉลี่ยขาลงอย่างไร้ขีดจำกัด

ถ้าคุณซื้อหุ้นแล้วหุ้นลง ที่จริงแล้ว ถ้าคุณมั่นใจว่า ราคาหุ้นที่ซื้อเป็นราคาที่ undervalued แน่ๆ สิ่งที่คุณควรทำมากกว่าคือ การอยู่เฉยๆ เพราะถ้าหุ้นนั้น undervalued จริงๆ สุดท้ายแล้วมันจะต้องกลับขึ้นมาใหม่ได้ การซื้อเฉลี่ยขาลงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่คุณจะเสียหายหนักถ้าหากหุ้นตัวนั้นได้ undervalued จริง บ่อยครั้งที่เราอยากซื้อเฉลี่ยขาลง เพราะเราไม่ชอบที่คนอื่นสามารถซื้อหุ้นตัวนั้นได้ต่ำกว่าเรา (ก็เราเจอหุ้นเด็ดตัวนี้ก่อนพวกเขานี่หน่า)  แต่อย่าลืมว่าผลงานของคุณจะเป็นอย่างไรนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีคนอื่นซื้อได้ถูกกว่าคุณหรือไม่เลยสักนิด

ผมไม่ได้ถึงกลับบอกว่าห้ามซื้อเฉลี่ยขาลงเด็ดขาด แต่อยากให้เข้าใจว่าการซื้อเฉลี่ยขาลงไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาหุ้นตกได้อย่างที่คิด แต่เพิ่มโอกาสที่เราจะหมดตัวมากกว่า คุณอาจซื้อเฉลี่ยขาลงบ้างก็ได้ แต่ขอให้ set ลิมิตเอาไว้ทุกครั้งว่าเราสามารถขาดทุนกับหุ้นตัวเดียวได้มากที่สุดแค่ไหน ถ้าซื้อเกินลิมิตนี้แล้วหุ้นยังลงต่อไปอีก ต้องลดความต้องการที่จะเอาชนะลง ยอมรับความผิดพลาดครั้งนั้นเสีย และไม่ซื้อเฉลี่ยเพิ่มอีก คนที่ชอบซื้อเฉลี่ยขาลงส่วนหนึ่งมีความเชื่อว่าหุ้นที่ลงมากๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องขึ้น แต่ในความเป็นจริง ไม่ได้มีกฏอย่างนั้นอยู่ในตลาดหุ้น 

Don’t buy into destitution!!

Charles G.Watts สอนก็นักลงทุนว่า อย่าซื้อเฉลี่ยขาลง เพราะแม้ว่า 4 ใน 5 ครั้งหุ้นมักจะกลับมาได้ก็จริง แต่ถ้าเราถือคติยิ่งตกยิ่งซื้อ กำไรทั้งหมดที่ได้มาในสี่ครั้งแรกรวมทั้งทุนของเราจะหายไปกับครั้งที่ 5 แค่เพียงครั้งเดียว คนที่ไม่เคยซื้อเฉลี่ยขาลงจะไม่มีวันหมดตัว