0223: the first five years

2860127362_5d83182fce

ถึงตอนนี้ผมก็ลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาได้เกินห้าปีแล้วครับ…

ข่วงที่ผมเริ่มลงทุน ผมกำหนดเป้าหมายว่า ในห้าปีแรก เป้าหมายของผมยังไม่ใช่ Wealth แต่คือการสะสมประสบการณ์และความรู้ ผมเพียงแต่สัญญากับตัวเองว่า ถ้าหากมีวิกฤตในห้าปีนี้ ผมจะต้องเป็นคนหนึ่งที่รอด

ผมมองว่า ตลาดหุ้นนั้นคล้ายภูเขาน้ำแข็ง ที่มีคนจำนวนน้อยมากๆ ที่เข้ามาในตลาดหุ้นแล้วสามารถอยู่ได้ถึงปีที่ 5 คนส่วนใหญ่หายไประหว่างทาง เพราะเจ๊ง เนื่องจากบังคับตัวเองไม่ให้ take excessive risk ไม่ได้ ดังนั้น คนที่อยู่ในตลาดได้ถึง 5 ปี ต่อให้เท่าทุน ก็ถือได้ว่า เป็นคนอันดับต้นๆ แล้วล่ะครับ

ผมเคยไปฟังอบรมเทคนิคอยู่ครั้งหนึ่ง วิทยากรบอกว่า ห้าปึแรกในตลาดหุ้น ทุกคนจะต้อง “จ่ายค่าเทอม”ก่อน เมื่อผ่านห้าปีแรกไปได้แล้ว ถึงจะเริ่มคาดหวังผลตอบแทนได้ (แต่ถ้าจะให้ดีต้องสิบปี) เพราะคนที่เคยเห็น “รอบใหญ่” ของตลาดหุ้นทั้งรอบแล้วเท่านั้น ที่จะรู้จักตลาดหุ้นอย่างแท้จริง ผมว่านี่เป็นวรรคทองเลยทีเดียว (แต่วรรคนี้ก็ทำเอานักเรียนในห้องหลายคนหน้าบูดไปเลย “อะไร จ่ายค่าทงค่าเทอมอะไรกัน พูดจาอัปมงคล”)

ในช่วงห้าปีนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากเกี่ยวกับตลาดหุ้น ได้ศึกษาหาความรู้มากมาย ได้รู้จักบริษัทในตลาดมากขึ้น ได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมหลายครั้งในตลาดหุ้น ได้รู้จักนิสัยของคน ได้รู้ว่าสังคมคนเล่นหุ้นมีด้านมืดซ่อนอยู่เยอะมาก ได้เห็นความอนิจจัง และที่สำคัญได้รู้จักตัวเอง คือได้รู้ว่า ผมมีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง มันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าครับ

ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ผมพยายามเปิดใจกว้างเพื่อรับแนวคิดที่แตกต่าง จึงไม่พยายามเรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแนวอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่เชื่อว่า เราจะโชคดีมากถึงขนาดเจอหลักการลงทุนที่ดีจริงได้ตั้งแต่ห้าปีแรกที่เริ่มต้นลงทุน ดังนั้นเราจึงควรเปิดใจไว้ก่อน รอให้ประสบการณ์ที่ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นของเราช่วยแยกแยะผิดถูกในปีหลังๆ จะเลือกแนวทางได้ดีกว่า ถ้าเราเป็นคนไม่ยืดหยุ่นตั้งแต่ต้น แล้วซวยดันไปเชื่อในแนวที่ผิด เส้นทางการลงทุนตลอดชีวิตของเราจะไม่ต่างจากการเดินทางไกลเพื่อไปสู่ปากเหว

เมื่อปีที่แล้วผมได้ล้างพอร์ตไป ดังนั้นในปีนี้จึงเป็นปีเริ่มต้นของเส้นทางการลงทุนในเฟสที่ 2 ของผม ผมจึงรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่หนนี้ ผมมีทุนตั้งต้นมากกว่าครั้งก่อน และแนวการลงทุนของผมจะมี scope ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาศัยสิ่งที่ผมได้จากเฟสแรกเป็นวัดถุดิบในการกำหนดสไตล์การลงทุนที่เหมาะกับตัวผมเองให้มากที่สุดครับ

until the next five years.

0220: งาน 50 ไอเดีย @ B2S Chidlom

chidlom

ตามคำเรียกร้อง สัมมนาการลงทุนรอบใหม่ กำลังจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2552 นี้ เวลา 1400-1600 น. พบกันที่ ร้านบีทูเอส สาขาเซ็นทรัลชิดลม ครับ

เพื่อให้เหมาะกับสถานที่จัดงาน เนื้อหาจึงไม่เหมือนกับสองครั้งที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นท่านที่เคยเข้าร่วมเมื่อสองรอบที่แล้ว ก็มาฟังได้ครับ มากันได้แบบไม่อั้นครับ ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าด้วย แต่จะมีที่ให้นั่งแค่ 30 ที่เท่านั้นนะครับ ที่เหลือยืน

ควรเดินทางมาด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นอย่างยิ่งนะครับ ลงที่สถานีชิดลมครับ

0219: การทดลองครั้งยิ่งใหญ่

หลังจากที่ผมได้พยายามค้นหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลงทุนแบบ ระยะยาวในตลาดหุ้นไทยมาได้สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ผมจะลองทำการทดลองอะไรบางอย่าง

เป้าหมายของผมคือการออกแบบ “วิธีการลงทุน” ในตลาดหุ้นไทยที่

  1. ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเกิน 10% ต่อปีขึ้นไป (คิดแบบ IRR) และเอาชนะตลาดได้
  2. เป็นวิธีการที่ไม่ยาก average person สามารถทำได้ทุกคน
  3. ไม่ต้องติดตามตลาดแบบใกล้ชิด (ข้อนี้สำคัญ)

จากการค้นคว้าของผม ผมคิดว่าวิธีการลงทุนต่อไปนี้น่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

ขั้นตอนแรก คัดเลือกหุ้นไทยจำนวน 7 ตัว โดยพิจารณาจากคุณสมบัติต่อไปนี้เป็นสำคัญ

  1. เป็นธุรกิจที่น่าจะยังมีการเติบโตอยู่ต่อไปในระยะยาว (สำคัญที่สุด)
  2. ต้องเป็นบริษัทที่ established แล้วพอสมควร
  3. ไม่มีหุ้นที่อยู่ใน sector เดียวกันเกิน 3 ตัว

มีการปรับออกเป็นระยะๆ ได้ ถ้าหากเชื่อว่า หุ้นตัวดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวอีกต่อไป

ขั้นตอนที่สอง จากนั้นก็เริ่มทยอยซื้อเดือนละหนึ่งตัว สลับกันไปเรื่อยๆ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 15 ปี อย่างเคร่งครัดแบบหุ่นยนต์ ห้ามเปลี่ยนลำดับ และห้ามขายเลยก่อนครบกำหนด 

เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของวิธีการนี้ ผมจึงคิดจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่ลงทุนด้วยวิธีการนี้ขึ้นมาสักพอร์ต และเพื่อความสนุกสนาน ผมเพิ่งไปเปิดบัญชีใหม่กับโบรกขึ้นมาอีกหนึ่งบัญชี เพื่อใช้สร้างพอร์ตดังกล่าวด้วยเงินจริงๆ ด้วย จะดูว่าอีก 15 ปีข้างหน้า มันจะเป็นยังไง

กฏการลงทุนของพอร์ตนี้

  1. หุ้น 7 ตัวแรกที่จะลงทุนได้แก่ ADVANC, BANPU, BGH, CPN, HMPRO, MINT, PS (ต่อไปสามารถปรับรายชื่อได้ ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ธุรกิจที่เติบโตอีกต่อไป หรือหุ้นถูก delist หรือโดน merge)
  2. ซื้อหุ้นหนึ่งตัว ทุกวันที่ 15 ของเดือน (หรือวันทำการถัดไปถ้าตลาดปิด) ตอนปิดตลาด เป็นเงิน 25, 000 บาท (ปัดเศษลงให้ Lot size ลงตัว) หรือไม่เกิน 100 หุ้น โดยซื้อสลับตัวไปเรื่อยๆ ตามตัวอักษร (ในอนาคตหุ้นตัวใหม่มาแทนตัวไหน ก็จะได้ลำดับของตัวนั้นไปแทน)
  3. เมื่อได้รับเงินปันผลให้นำกลับไปลงทุนอีกเสมอ โดยลงทุนครั้งละ 25, 000 บาทเช่นกัน รอซื้อพร้อมเดือนถัดไป หรืออาจสำรองล่วงหน้าไว้ในกรณีที่กำลังจะมีการเพิ่มทุนก็ได้
  4. หุ้นตัวใดที่มีน้ำหนักในพอร์ตมากกว่า 30% จะโดนหยุดซื้อชั่วคราวจนกว่าน้ำหนักจะลดลง
  5. ลงทุนต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี  

ธุรกรรมทั้งหมดของพอร์ตจะถูกนำมาบันทึกไว้ในบล็อกแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2552 นี้เป็นต้นไปครับ

0206: 50 ไอเดียการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

50covergif

ขอแนะนำหนังสือเล่มใหม่ของผมนะครับ “50 ไอเดียการลงทุนในตลาดหุ้นไทย” เล่มนี้ก็คือการรวมเล่มเนื้อหาในบล็อกเซ็ตเทรด ในช่วงปี 50-51 นั่นเอง พร้อมด้วยคอมเมนท์ของผู้อ่านทุกท่าน จัดพิมพ์ขึ้นเป็น Limited Edition สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บสะสมบทความตามคำเรียกร้อง 

ตอนนี้มีวางจำหน่ายแล้ว ที่สาขาของร้านบีทูเอสเท่านั้นครับ

0193: เวลาสำหรับการเรียนรู้เรื่องการลงทุน

course

 

ตลอด 3-4 ปี ที่ผ่านมา มีเพื่อนนักลงทุนหลายท่านอยากให้ผมเปิดคอร์สสอนเรื่องการลงทุน แต่ผมก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะไม่มีเวลาเตรียมตัว 

ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เชื่อว่าผมน่าจะหาเวลาเตรียมตัวได้ ก็เลยคิดว่าจะลองจัดดูสักครั้งหนึ่ง คงเป็นแค่คลาสเล็กๆ ไม่เกิน 25 คน เพื่อให้สะดวกในการถามคำถามได้อย่างเต็มที่ ตั้งใจว่าจะสาธิตให้ดูว่า เวลาผมตัดสินใจลงทุนผมคิดอะไรบ้าง หาข้อมูลอย่างไร วิเคราะห์อย่างไร framework ต่างๆ เป็นวิธีการส่วนตัวของผมเอง

หวังว่าทุกท่านที่เคยชวนผมไว้ เวลานี้จะยังลงทุนกันอยู่ ไม่ได้หายไปกับวิกฤตซับไพรม์

0185: ประชุมผู้ถือหุ้น ปตท.สผ.

pttep1

บรรยากาศการลงทะเบียน คนเยอะมากอย่างกับงานรับเช็คช่วยชาติ ถึงกับต้องจัดประชุมที่บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลลาดพร้าว สังเกตว่าผู้ถือหุ้นปตท.สผ.เป็นผู้สูงอายุเยอะมากด้วย

 

pttep1

MD ใหม่หน้าตาเป็นอย่างนี้นี่เอง เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกอ่ะ

 

pttep1

ช็อคมาก ไม่นึกว่าจะได้เจออาจารย์ที่คณะวิศวะของผมท่านนี้ ถือหุ้นปตท.สผ.ด้วย  (ดุมาก ครับ ขอบอก)

 

pttep1

ผู้จัดการฝ่ายบัญชีโดนอาจารย์ผมย่างสดๆ ต่อหน้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น

 

pttep1

กราฟนี้ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นทันทีว่าตอนนี้ควรลงทุนในหุ้นตัวนี้หรือไม่ อิอิ

 

แถมต่อด้วยการประชุมผู้ถือหุ้น บมจ.บ้านปู

pttep1

บริษัทใจปล้ำสุดๆ จัดประชุมที่พลาซ่าเอธินี แถมเลี้ยงอาหารกลางวันผู้ถือหุ้นแบบไม่อั้น เลิศสุดๆ

pttep1

เส้นไหว้ผู้ถือหุ้นด้วยเนื้อหมูอันโอชะ เผื่อว่าผู้ถือหุ้นขาประจำจะกรุณา ไม่ถามคำถามแบบโหดๆ เหมือนทุกครั้ง

 

pttep1

บรรยากาศ อึม ดูน่าเกรงขามทีเดียวครับ

0180: เห็ดฟันด์เสี่ยงกว่าจริงหรือ?

ขณะนี้ ดัชนี HFRX ซึ่งเป็นดัชนีที่วัดผลงานของ hedge funds ทั่วโลก ลดลง 22.7% เมื่อเทียบกับเมื่อต้นปี 2008 ในขณะที่ MSCI index ซึ่งวัดผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วทั่วโลก 23 ประเทศ ลดลงมากถึง 38% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ยามตลาดหุ้นดี ว่ากันว่า เห็ดฟันด์ได้กำไรมากกว่า แต่พอตลาดหุ้นไม่ดี เห็ดฟันด์ก็ขาดทุนน้อยกว่าด้วย อย่างนี้ก็เท่ากับว่า ที่จริงแล้ว เห็ดฟันด์ให้ upside สูงกว่าแต่ให้ downside ต่ำกว่าด้วย ในทางการเงินต้องถือว่า superior than MSCI index fund แล้ว

 ที่เราเชื่อๆ กันมาตลอดว่า เห็ดฟันด์เสี่ยงกว่ากองทุนรวมแบบธรรมดา ดูเหมือนจะไม่ใช่ความจริงเสียแล้ว

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ดัชนี HFRX ตัวนี้มีรายละเอียดในการจัดทำดัชนีอย่างไร เหตุที่ร่วงลงน้อย ไม่รู้ว่าเกิดจาก survivalship bias บ้างหรือเปล่า ถ้าจะให้แฟร์ๆ คงต้องหาดัชนีที่วัดผลงานของกองทุนรวมมาเป็นตัวเปรียบเทียบแทน MSCI แต่ผมเดาว่า ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันเท่าไรนัก

ที่จริงแล้ว การที่เห็ดฟันด์ไม่ถูกควบคุมจาก กลต.กลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะเวลาที่เกิดวิกฤตรุนแรง เห็ดฟันด์สามารถปรับตัวเพื่อลดผลขาดทุนได้อย่างเต็มที่ ช่วง 4 เดือนหลังนี้ HFRX แทบไม่ตกลง ในขณะที่ MSCI ยังตกต่อเนื่อง เพราะดูเหมือนบรรดาเห็ดฟันด์จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับตลาดขาลงกันอย่างเต็มที่ ในขณะที่ พวกกองทุนรวมซึ่งติดข้อบังคับต่างๆ เต็มไปหมดขยับตัวได้ยากกว่า เลยทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นว่ากฏเกณฑ์ต่างๆ ที่คิดขึ้นมาเพื่อปกป้องนักลงทุนนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายนักลงทุนแทน

ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความเชื่อหลายอย่างที่เชื่อตามๆ กันมาโดยไม่มีการตรวจสอบ เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในนั้น

0106: PS’s Analyst Meeting on Jan 9th

มีข่าวฝากประชาสัมพันธ์ครับ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตทจะจัดแถลงแผนธุรกิจสำหรับปี 2551 ในวันพุธที่ 9 มกราคม 2551 นี้ ที่ โรงแรมโฟร์ซีซั่น ถนนราชดำริ เริ่มเวลา 9.00 น.

งานนี้เป็นงานสำหรับนักวิเคราะห์ แต่บริษัทบอกว่ายินดีต้อนรับนักลงทุนรายย่อยทุกท่านที่สนใจด้วยไม่มีค่าใช้จ่าย (งานนี้ผมไปฟังด้วย แต่หุ้นดีหรือไม่ดีต้องไปฟังกันเอาเอง ผมแค่ประชาสัมพันธ์งานให้เขาเฉยๆ)

0032: ดราก้อนบอล

นับถึงวันนี้ผมตามหาดราก้อนบอลมาได้ครบ 4 ปีพอดี…

ดราก้อนบอลลูกแรกที่ผมเจอย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในสยามประเทศ ผมจึงลงทุนขุดมันขึ้นมาจากถังขยะที่ไม่มีใครสนใจ ทุกวันนี้ตลาดกลับใจเอามันมาเชิดชู ผมถือมันไว้เป็นเวลาสามปีก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยมันไปชั่วคราวเพื่อแลกกับดราก้อนบอลอีกลูกหนึ่ง (เดี๋ยวจะกล่าวถึง) ยังไงก็ตาม ผมยังคิดว่า ยังมีโอกาสที่จะ cover short ลูกนี้กลับมาได้ในอนาคตอันใกล้ ผมยังรอคอยวันที่จะได้ครอบครองมันอีกครั้ง

   

ลูกที่สองที่ผมค้นพบเมื่อสามปีที่แล้ว มันถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในหุ้นเบญจภาคีของสยามประเทศเลยทีเดียว แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมถือมันไว้ มรสุมช่างเยอะเหลือเกิน มีหลายช่วงที่มันดูหมองหม่นไป แต่บัดนี้มันกลับมากลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง และผมก็สัญญาว่าจะเก็บมันไว้ให้ดีที่สุดให้สมกับที่อุตส่าห์อดทนถือมันไว้เกือบสามปี

ลูกนี้คือลูกที่ผมต้องเอาลูกแรกไปแลกมันมา เพราะความที่เรามีทุนน้อยมาก เช่นเดียวกับลูกแรกมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ตลาดละเลย ตอนที่ผมเก็บมันมา ผมก็คิดว่ามันถูกแล้ว แต่ไม่นาน ตลาดก็ทิ้งมันต่อไปอีกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ไม่มีอะไรแน่นอนในตลาด ผมต้องตัดใจเอาลูกแรกไปจำนำเพื่อนำเงินมาซื้อเฉลี่ยลูกนี้ แม้กระทั้งทุกวันนี้ตลาดก็ยังคงเมินเฉยลูกนี้อยู่ มันยืนอยู่ได้ด้วยทุนต่างประเทศล้วนๆ

ลูกนี้เคยเป็นดาวเด่นในตลาดอยู่พักหนึ่ง แต่บัดนี้มันถูกทิ้งขว้างมาเกือบปีแล้วเพราะความกังวลของตลาดเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม บริษัทมีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมแบบไม่มีที่สองทำให้ต้องระดมสรรพกำลังเป็นอันมากในช่วงนี้จนดูอ่อนล้าไป ยังไงเสียผมก็ยังไม่เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับตัวนี้ไปเลยแม้แต่น้อย ผมว่าวันนี้มันเจิดจรัสกว่าเมื่อปีที่แล้วเสียอีก ช่วงนี้ก็เลยทยอยเก็บอย่างต่อเนื่อง

ส่วนที่เหลืออีก 3 ลูก ผมตามหามากว่าสี่ปีแล้วแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นลูกไหนในบรรดาลูกแก้วเกือบ 500 ลูกทั่วหล้า ใครรู้ช่วยบอกผมหน่อยสิครับ สรุปแล้วผ่านไปได้สี่ปี ผมมีดราก้อนบอลไว้ครอบครองแล้ว 3 ลูก ปล่อยไป 1 ลูก ยังหาไม่เจออีก 3 ลูก ผมยังเฝ้ารอวันที่ผมจะมีดราก้อนบอลครบทั้ง 7 ลูกอย่างอดทน เมื่อวันนั้นมาถึง ผมจะขอพรวิเศษจากท่านเทพมังกรครับ

0094: ชายผู้มีอาชีพลึกลับ (ต่อ)

 

ชายลึกลับมีอาชีพขาย “สิทธิที่จะซื้อหุ้นที่ราคาที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้าภายในระยะเวลาที่กำหนด” ให้กับนักลงทุน” หรือที่เรียกว่าอาชีพ “Short Call Options” นั่นเอง มันเป็นอาชีพที่มีลักษณะคล้ายกับการขายประกันรูปแบบหนึ่ง

นักลงทุนที่สนใจจะซื้อสิทธิที่ว่านี้จะจ่ายเงินก้อนหนึ่งให้เขา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นค่าเบี้ย หลังจากนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนด ถ้าหุ้นตัวนั้นไม่เคยมีราคาสูงกว่าราคาที่กำหนด ลูกค้าจะไม่ใช้สิทธิ ซึ่งเท่ากับว่า ชายลึกลับจะได้เงินค่าเบี้ยนั้นไปฟรีๆ แต่ถ้าในระหว่างนั้นหุ้นเกิดมีราคาสูงกว่าราคาที่กำหนด ลูกค้าก็จะขอใช้สิทธิเพื่อซื้อหุ้นนั้นจากชายลึกลับในราคาที่กำหนด แล้วนำหุ้นไปขายในตลาดเอากำไร ซึ่งก็เหมือนกับการที่ลูกค้ามาเคลมประกันนั่นเอง ชายลึกลับจะต้องเสียประโยชน์เนื่องจากจะต้องขายหุ้นนั้นให้กับลูกค้าในราคาที่กำหนดซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด

ก่อนหน้านี้ชายลึกลับเคยเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อนแต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ร่ำรวยมหาศาลจากตลาดหุ้นจนทำให้เขามีเงินมากพอที่จะอยู่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำงาน เขาจึงบอกกับตัวเองว่า “ผมพอแล้ว” เขานำเงินทั้งหมดที่ได้ไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นดัชนีเพื่อรอกินเงินปันผลอย่างเดียว ซึ่งเงินปันผลที่เขาได้รับในแต่ละปีสูงกว่าค่าใช้จ่ายของเขา แถมยังเหลือเงินไปเที่ยวรอบโลกได้อีกด้วย เขาจึงอยู่เฉยๆ ได้โดยไม่ต้องทำงานอีกต่อไปและยังไม่ต้องเฝ้าตลาดหุ้นอีกด้วย

ด้วยความที่ชายลึกลับถือกองทุนหุ้นจำนวนมากเอาไว้เฉยๆ เพื่อการลงทุน ทำให้ชายลึกลับอยู่ในสถานะที่สามารถยึดอาชีพ Short Call Options ได้โดยที่ไม่ต้องรับความเสี่ยง เพราะเมื่อใดก็ตามที่หุ้นของลูกค้ามีราคาปรับตัวขึ้นไปมากกว่าราคาที่กำหนด หุ้นในกองทุนของเขาก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่ากันด้วยเสมอ เขาจึงสามารถขายหุ้นในกองทุนที่ราคาตลาด (ได้กำไรส่วนหนึ่ง) แล้วส่งมอบหุ้นนั้นให้กับลูกค้า เขาจึงเพียงแต่สูญเสียโอกาสที่จะได้กำไรมากๆ หากหุ้นมีราคาปรับตัวพุ่งขึ้นแรงๆ เท่านั้น แต่ไม่ต้องขาดทุน ในทางตรงกันข้าม ในยามปกติ เขาจะได้เงินเบี้ยประกันจากลูกค้ามาฟรีๆ

แม้จะขายประกันอยู่ในตลาดอนุพันธ์แต่ชายลึกลับก็ไม่เคยคิดซื้อขายตราสารอนุพันธ์อย่างอื่นๆ เลยไม่ว่าสถานการณ์จะยั่วยวนสักแค่ไหน เขาบอกตัวเองอยู่เสมอว่าเขาเข้ามาในตลาดอนุพันธ์เพื่อมาประกอบอาชีพขายประกันเท่านั้น  ไม่เคยคิดอย่างอื่น ความที่เราเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพแบกรับความเสี่ยงให้กับนักลงทุน เราย่อมได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงในระยะยาว (มิฉะนั้นบริษัทประกันภัยคงเจ๊งหมดแล้ว) ต่างกับการเข้ามาเก็งกำไรฟิวเจอร์ซึ่งเป็น zero-sum game หรือการ long options ซึ่งเป็นการซื้อประกัน ในระยะยาวแล้วย่อมไม่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยง