ถึงตอนนี้ผมก็ลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาได้เกินห้าปีแล้วครับ…
ข่วงที่ผมเริ่มลงทุน ผมกำหนดเป้าหมายว่า ในห้าปีแรก เป้าหมายของผมยังไม่ใช่ Wealth แต่คือการสะสมประสบการณ์และความรู้ ผมเพียงแต่สัญญากับตัวเองว่า ถ้าหากมีวิกฤตในห้าปีนี้ ผมจะต้องเป็นคนหนึ่งที่รอด
ผมมองว่า ตลาดหุ้นนั้นคล้ายภูเขาน้ำแข็ง ที่มีคนจำนวนน้อยมากๆ ที่เข้ามาในตลาดหุ้นแล้วสามารถอยู่ได้ถึงปีที่ 5 คนส่วนใหญ่หายไประหว่างทาง เพราะเจ๊ง เนื่องจากบังคับตัวเองไม่ให้ take excessive risk ไม่ได้ ดังนั้น คนที่อยู่ในตลาดได้ถึง 5 ปี ต่อให้เท่าทุน ก็ถือได้ว่า เป็นคนอันดับต้นๆ แล้วล่ะครับ
ผมเคยไปฟังอบรมเทคนิคอยู่ครั้งหนึ่ง วิทยากรบอกว่า ห้าปึแรกในตลาดหุ้น ทุกคนจะต้อง “จ่ายค่าเทอม”ก่อน เมื่อผ่านห้าปีแรกไปได้แล้ว ถึงจะเริ่มคาดหวังผลตอบแทนได้ (แต่ถ้าจะให้ดีต้องสิบปี) เพราะคนที่เคยเห็น “รอบใหญ่” ของตลาดหุ้นทั้งรอบแล้วเท่านั้น ที่จะรู้จักตลาดหุ้นอย่างแท้จริง ผมว่านี่เป็นวรรคทองเลยทีเดียว (แต่วรรคนี้ก็ทำเอานักเรียนในห้องหลายคนหน้าบูดไปเลย “อะไร จ่ายค่าทงค่าเทอมอะไรกัน พูดจาอัปมงคล”)
ในช่วงห้าปีนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากเกี่ยวกับตลาดหุ้น ได้ศึกษาหาความรู้มากมาย ได้รู้จักบริษัทในตลาดมากขึ้น ได้เห็นเล่ห์เหลี่ยมหลายครั้งในตลาดหุ้น ได้รู้จักนิสัยของคน ได้รู้ว่าสังคมคนเล่นหุ้นมีด้านมืดซ่อนอยู่เยอะมาก ได้เห็นความอนิจจัง และที่สำคัญได้รู้จักตัวเอง คือได้รู้ว่า ผมมีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง มันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าครับ
ตลอดห้าปีที่ผ่านมา ผมพยายามเปิดใจกว้างเพื่อรับแนวคิดที่แตกต่าง จึงไม่พยายามเรียกตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแนวอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่เชื่อว่า เราจะโชคดีมากถึงขนาดเจอหลักการลงทุนที่ดีจริงได้ตั้งแต่ห้าปีแรกที่เริ่มต้นลงทุน ดังนั้นเราจึงควรเปิดใจไว้ก่อน รอให้ประสบการณ์ที่ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นของเราช่วยแยกแยะผิดถูกในปีหลังๆ จะเลือกแนวทางได้ดีกว่า ถ้าเราเป็นคนไม่ยืดหยุ่นตั้งแต่ต้น แล้วซวยดันไปเชื่อในแนวที่ผิด เส้นทางการลงทุนตลอดชีวิตของเราจะไม่ต่างจากการเดินทางไกลเพื่อไปสู่ปากเหว
เมื่อปีที่แล้วผมได้ล้างพอร์ตไป ดังนั้นในปีนี้จึงเป็นปีเริ่มต้นของเส้นทางการลงทุนในเฟสที่ 2 ของผม ผมจึงรู้สึกเหมือนว่า ผมกำลังเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แต่หนนี้ ผมมีทุนตั้งต้นมากกว่าครั้งก่อน และแนวการลงทุนของผมจะมี scope ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาศัยสิ่งที่ผมได้จากเฟสแรกเป็นวัดถุดิบในการกำหนดสไตล์การลงทุนที่เหมาะกับตัวผมเองให้มากที่สุดครับ
until the next five years.
เรื่องจ่ายค่าเทอมนี่ เห้นด้วยครับ
เข้ามาตลาดแรกๆ ผมก็เคยได้ยินเหมือนกันค่าเทอมอะไรกัน
สุดท้ายก้ต้องจ่ายไปครับ (จ่ายไปหนักพอสมควร) 555
แต่ผมคิดว่าคุ้มครับ เพราะได้อะไรกลับมาพอสมควร
ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเอง เหมือนกันว่า ยังโชคดี ที่เจอวิกฤต ในปีแรกๆ ที่ลงทุน (ผมเริ่มเล่นก่อน Suprime ประมาณ 3 เดือน)
ตอนนี้ เลย ท่องไว้อย่างเดียวครับ
Risk Risk Risk
ผมว่า ช่วงนี้ เหมาะกับคำนี้มาก
ยินดีด้วยกับการเดินทางรอบสองครับ
ผม กำลังจะเริ่มก้่าวเข้าไปในตลาดหุ้น แต่อยู่ต่างประเทศเก็บเงินอยู่เลย
ไม่ได้เริ่มก้าวสักที T-T อยากจะก้าวแต่ถ้าไม่พร้อมก็ยังไม่ควรเข้าไปในป่าใหญ่
ในความคิดตัวเองครับ
ยินดีด้วยครับกับการเดินทางตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผมว่าคงจะเก็บเกี่ยวความรู้ประสบการณ์ มุมมองและแนวทางตลอดจนสูตรสำเร็จเคล็ดวิชามาจนตกผลึก สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
ขนาดว่าพี่สุมาอี้อยู่กับตลาดมานานยังเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด แล้วอย่างผมที่เริ่มลงทุนตอนปลายปี 07 นั่นแหละดอยชัด ๆ จนมาถึง ณ ปัจจุบัน ผมไม่รู้ว่าเนี่ยเรียกว่าค่าเทอมหรือเปล่าเพราะยังขาดทุนอยู่เลย หลักการลงทุนยังไม่ค่อยเด่นชัดแต่เน้นไปแนวทางคุณค่าหรือเปล่าไม่แน่ใจ เพราะผมก็ยัง timing market อยู่แต่ก็มั่ว ๆ ไม่ได้ใช้เทคนิคหรือฟันด์โฟลว์
ตอนนี้ก็พยายามหาหลักและแนวยึดอยู่พยายามหาหนังสือมาอ่านหลาย ๆ ทางแต่เน้นไปทางคุณค่า ตอนนี้อยากมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บ้าง ไม่แน่ใจว่าพอจะแนะนำได้ไหมครับ ผมเคยเรียนแต่เศรษฐศาสตร์วิศวกรรมแค่คอร์สเดียว เอาซัก 3 เล่มแบบเบสิค ขั้นกลางจนถึงขั้นสูง อ่านหนังสือของพี่ก็พอจะได้อะไรคล่าว ๆ
ไม่แน่ใจว่าพอจะมีอะไรแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนบ้างหรือเปล่า ยินดีรับฟังคำแนะนำครับ
มีความสุขกับการลงทุนและดำเนินชีวิตครับ
ยังจำที่พี่สุมาอี้เคยบอกผมไว้ได้ตอนนั้นเมื่อซักสองสามปีที่แล้ว ในใจก็คิดว่าห้าปีเราก็ต้องพยายามเอาตัวให้รอดให้ได้เช่นกัน……….ในที่สุดก็รอดห้าปีกันมาแล้วนะครับ ^^
ผมเริ่มใกล้ๆกับ อาจารย์ ภูมิใจลึกๆเหมือนกันว่า เรายังอยู่รอดได้
ประสบการณ์ 5ปีที่ผ่านมา อาจารย์ได้อะไรมาบ้าง มาเล่ากันหน่อย
ส่วนผมพลาดตรง Subprime ที่มองภาพใหญ่ไม่ออกเลย ติดหุ้น Cutlossไปหลายตัวเลย
Khun narin, let me ask you one thing. This ‘first five year’ was well-planned in your mind as master plan before stepping into the market or it is just a ‘looking backward’ and then you connected those dots afterwards. I’m just thinking about what Jobs said in 2005.
Take care,
Attaporn (khun_aut)
Ps. Sorry, my iphone was down and Thai fonts’ gone with the wind. Not yet recovered.
“Of course, it was impossible to connect the dots looking forward,” Jobs said. “You can only connect them looking backward, so you have to trust that the dots will somehow connect in your future.” … Steve Jobs
Ahhhh pls answer in Thais. TQ.
การเข้ามาในตลาดหุ้นของผมเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า ผมจะเริ่มต้นลงทุนและทำต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ตลอดไป ครับพี่ขุน เพราะฉะนั้นมันเหมือนการมองไปข้างหน้า ซึ่งเสี่ยงเพราะถ้าการเข้ามาในตลาดหุ้นเป็นความคิดที่ผิด at all case ชีวิตก็เหมือนการเดินทางไกลไปสู่ปากเหวได้เหมือนกัน
แต่พอได้เข้ามาในตลาดแล้ว ผมทำคล้ายๆ กับ connecting the dots ของ Jobs ครับ ผมว่ามันเป็นกลยุทธ์การใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยม เพราะชีวิตมีแต่ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเลือกทางเดินได้ตั้งแต่แรก แล้วเดินเป็นเส้นตรงไปตลอดทาง อย่างดีที่สุดคือ พยายามเปิด options ไว้ก่อนเพื่อ maximize ทางเลือก ต่อเมื่อเราได้พบทางเลือกที่มี potential ที่สุดแล้ว เราจึงค่อย commit กับมัน
ผมก็ผ่าน 5 ปีมาแล้วเหมือนกัน บวกลบคูณหารแล้ว จ่ายค่าเทอมไป 1/4 ของพอร์ตเอง แตที่แน่ ๆ ตอนนี้ผมรู้ตัวแล้วว่าตัวเองเป็น “นักลงทุนในหุ้นเก็งกำไรที่เน้นคุณค่า” ไปแล้ว
เคยคุยเรื่อง Engineering Thought ของคุณนรินทร์ไว้นานแล้ว นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ – รู้สึกดีครับ
ผสมไปกับเรื่อง Time Capsule ที่ได้อ่านไม่กี่วันก่อน ยิ่งทำให้เชื่อ(เป็นการส่วนตัว)ว่า “การลงทุน” เป็นเพียง Life-Tool!
บางทีสิ่งที่ผมหรือคุณนรินทร์กำลังตามหาอาจไม่ใช่โบรก’ซี้ๆ หรือ หุ้นดีๆ อะไรแบบนั้น … ผมแอบสนใจนิดๆว่า อะไรหนอที่คุณนรินทร์ฝังเอาไว้ใน Capsule นั่น เอาไว้เจอกันที่หลวงพระบาง อีก 15 ปีดีไหม ? แฮ่ – ดูหนังสบายดีหลวงพระบางหรือยังเอ่ย?
แล้วจะแวะมาคุยด้วยใหม่ครับ : )
ไม่กำไรไม่ขาย ครับ ติดดอยอยู่ ตัวหนึ่ง ไม่ cut loss ครับ
นอกนั้นกำไรหมดครับ
you’ll never walk alone… (ถึงแม้จะไม่เห็นกันทว่าพี่เป็นคนไม่กี่คนในตลาดที่ผมกล้าพูดว่าพี่เป็นคนดีครับ)
ขอเดินทางไปพร้อม ๆ กันด้วยคนครับ ได้เรื่องเขียนบล็อคสัปดาห์นี้พอดี
อ่านมาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เขียนหนังสือค่ะ ชอบมากจะติดตาม 5 ปีจากนี้ เรียนจบพอดี
และอย่าลืมแวะมาเขียนๆๆ อะไรค่ะ จะติดตามไปค่ะ
ผมก็เป็นคนนึงที่มีประสบการณ์ราวๆ5ปีบวกนิดหน่อย
ค้นพบว่า
การเล่นหุ้นคล้ายๆกับการเล่นกีฬาครับ
ไม่มีทางลัด
ค่อยๆฝึกฝนไป รีบมากก็ไม่ดี ช้าไปก็ไม่เหมาะ
ให้คนอื่นฝึกแทนก็ไม่ได้ ต้องโดนเอง จะจำแม่น แก้ไขเป็น
วันนึงเล่นเก่งขึ้นมาไม่รู้ตัว
เล่นเก่งนี่ไม่ใช่เล่นได้นะ
แต่รู้ว่าจะเล่นเกมรับได้ดีขึ้น ไม่เสียประตูง่ายๆ
เวลาบุกก็ไม่ซี๊ๆซั๊วๆเงอะๆงะๆ…ฮ่า…
ขออนุญาติขุดโพสนี้ขึ้นมาครับพี่โจ้ก จากที่พี่ทิ้งท้ายไว้ว่า
until the next five year
อีกแค่ 2 เดือนก็จะครบแล้วนะครับ ไม่ทราบว่า เป็นอย่างไรบ้าง