0219: การทดลองครั้งยิ่งใหญ่

หลังจากที่ผมได้พยายามค้นหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการลงทุนแบบ ระยะยาวในตลาดหุ้นไทยมาได้สักพัก ถึงเวลาแล้วที่ผมจะลองทำการทดลองอะไรบางอย่าง

เป้าหมายของผมคือการออกแบบ “วิธีการลงทุน” ในตลาดหุ้นไทยที่

  1. ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเกิน 10% ต่อปีขึ้นไป (คิดแบบ IRR) และเอาชนะตลาดได้
  2. เป็นวิธีการที่ไม่ยาก average person สามารถทำได้ทุกคน
  3. ไม่ต้องติดตามตลาดแบบใกล้ชิด (ข้อนี้สำคัญ)

จากการค้นคว้าของผม ผมคิดว่าวิธีการลงทุนต่อไปนี้น่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

ขั้นตอนแรก คัดเลือกหุ้นไทยจำนวน 7 ตัว โดยพิจารณาจากคุณสมบัติต่อไปนี้เป็นสำคัญ

  1. เป็นธุรกิจที่น่าจะยังมีการเติบโตอยู่ต่อไปในระยะยาว (สำคัญที่สุด)
  2. ต้องเป็นบริษัทที่ established แล้วพอสมควร
  3. ไม่มีหุ้นที่อยู่ใน sector เดียวกันเกิน 3 ตัว

มีการปรับออกเป็นระยะๆ ได้ ถ้าหากเชื่อว่า หุ้นตัวดังกล่าวไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวอีกต่อไป

ขั้นตอนที่สอง จากนั้นก็เริ่มทยอยซื้อเดือนละหนึ่งตัว สลับกันไปเรื่อยๆ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 15 ปี อย่างเคร่งครัดแบบหุ่นยนต์ ห้ามเปลี่ยนลำดับ และห้ามขายเลยก่อนครบกำหนด 

เพื่อพิสูจน์ศักยภาพของวิธีการนี้ ผมจึงคิดจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่ลงทุนด้วยวิธีการนี้ขึ้นมาสักพอร์ต และเพื่อความสนุกสนาน ผมเพิ่งไปเปิดบัญชีใหม่กับโบรกขึ้นมาอีกหนึ่งบัญชี เพื่อใช้สร้างพอร์ตดังกล่าวด้วยเงินจริงๆ ด้วย จะดูว่าอีก 15 ปีข้างหน้า มันจะเป็นยังไง

กฏการลงทุนของพอร์ตนี้

  1. หุ้น 7 ตัวแรกที่จะลงทุนได้แก่ ADVANC, BANPU, BGH, CPN, HMPRO, MINT, PS (ต่อไปสามารถปรับรายชื่อได้ ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ธุรกิจที่เติบโตอีกต่อไป หรือหุ้นถูก delist หรือโดน merge)
  2. ซื้อหุ้นหนึ่งตัว ทุกวันที่ 15 ของเดือน (หรือวันทำการถัดไปถ้าตลาดปิด) ตอนปิดตลาด เป็นเงิน 25, 000 บาท (ปัดเศษลงให้ Lot size ลงตัว) หรือไม่เกิน 100 หุ้น โดยซื้อสลับตัวไปเรื่อยๆ ตามตัวอักษร (ในอนาคตหุ้นตัวใหม่มาแทนตัวไหน ก็จะได้ลำดับของตัวนั้นไปแทน)
  3. เมื่อได้รับเงินปันผลให้นำกลับไปลงทุนอีกเสมอ โดยลงทุนครั้งละ 25, 000 บาทเช่นกัน รอซื้อพร้อมเดือนถัดไป หรืออาจสำรองล่วงหน้าไว้ในกรณีที่กำลังจะมีการเพิ่มทุนก็ได้
  4. หุ้นตัวใดที่มีน้ำหนักในพอร์ตมากกว่า 30% จะโดนหยุดซื้อชั่วคราวจนกว่าน้ำหนักจะลดลง
  5. ลงทุนต่อเนื่องเป็นเวลา 15 ปี  

ธุรกรรมทั้งหมดของพอร์ตจะถูกนำมาบันทึกไว้ในบล็อกแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. 2552 นี้เป็นต้นไปครับ

64 Replies to “0219: การทดลองครั้งยิ่งใหญ่”

  1. น่าสนุกครับ ขอลองติดตามผลด้วยคับ

    แล้วพี่สุมาอี้ จะมี ขยายความเพิ่มไหมครับ ว่าทำไม ถึงชอบแต่ละตัว ทั้ง 7 ตัว

    คือ อยากได้มุมมองด้วย อย่าง PS, MINT นี่ ผมก็ชอบอยู่

    แต่อย่าง Advance นี่เฉยๆนะครับ ในความรู้สึก มันไม่น่าจะโตได้มาก (หรือป่าว)

    เลยอยากเปิดมุมมอง ประเทืองปัญญาคับ

    1. ที่จริง ADVANC เป็นตัวที่ไม่แน่ใจเท่าไร แต่คิดว่าน่าจะพอไปได้

      1. อย่างนี้ เท่ากับพี่สุมาอี้ คิดว่า ทั้งตลาด 7 ตัว(ที่เลือกมานี้) เป็นหุ้น Growth ที่ดีที่สุด ในขณะนี้ด้วยหรือไม่ครับ

        พอดี ผมมีโอกาสได้ฟัง ไฟล์เสียงที่พี่ share ให้ เลยกำลัง ศึกษาแนวนี้อยู่คับ

  2. เติบโตอีก 15 ปีหรือครับบริษัทจะ growth ถึง 15 ปีเลยหรือครับ

    1. ผมเคยโชว์ให้ดูแล้วใน slide ของผมไงครับว่าหุ้นไทย 12 ปีโตได้จริงๆ

  3. ขอบคุณครับ ผมชอบสไตล์นี้ครับ

    สำหรับ PS อยากได้เป็นเจ้าของเหมือนกัน ซื้อมาตั้งแต่ 4 บาทแต่ดันไปขายตอน 9 บาท ตอนนี้ อยากได้กลับมา แต่ไม่รู้จะเมื่อไร

    ถามคุณสุมาอี้โดยตรงว่า PS นะราคาปัจจุบัน 10 ยังพอจะคาดหวังกลับ Growth ในอนาคต 4-5 ปีได้เหรอครับ เพราะเข้าใจว่าประมาณต้นปีที่แล้วก่อนวิกฤต Peak ก็ประมาณ 12 บาท

    อยากทราบมุมมอง

    1. วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถหลีกเลี่ยงการต้องวัดมูลค่าหุ้นได้ เนื่องจากใช้วิธีทยอยซื้อเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ในระยะยาวๆ ดังนั้น ถ้าเอารายชื่อหุ้นเหล่านี้ของผมไปใช้ แล้วลงทุนแบบตูมเดียวเลย จะผิดจุดประสงค์นะครับ ไม่รับประกันความผิดหวัง

      วิธีการลงทุนที่ผมออกแบบนี้ต้องใช้ทั้งหมด ห้ามนำไปดัดแปลงใช้แค่บางส่วน ลมปราณจะแตกซ่านครับ

  4. ทำไมถึงไม่เลือกทดสอบ ทฤษฎีโดยการใช้ Historical data ครับ?

    1. เพราะกลยุทธ์นี้ต้องการการเลือกหุ้นโดยมองอนาคตของหุ้นในขณะนั้น การใช้ข้อมูลในอดีตจึงทดสอบกลยุทธ์นี้ไม่ได้ เพราะเราเห็นอนาคตหมดแล้ว

  5. จะ test ได้อย่างไร เพราะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผมจะรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าผมอยู่ตรงนั้น ผมจะเลือกหุ้นอะไร?

  6. แอบอ่านมานานแล้วครับ แต่ไม่กล้าแสดงความเห็นเพราะว่ายังมือใหม่ครับ อยู่กับตลาดหุ้นมา 2 ปีกว่า ๆ ชอบในบทความที่นำเสนอครับ

    พอร์ทที่จัดให้มาเนี่ยค่อนข้างจะครอบคลุมทุกหมวดเลยนะครับ ตั้งแต่สื่อสาร พลังงานต้นน้ำ การแพทย์ อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง กระจายทุกหมวดตั้งแต่รับจ้างผลิต,โรงแรม,ร้านอาหาร etc. และสุดท้ายก็พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย และใช้วิธี DCA เพื่อหลีกเลี่ยงการหามูลค่าที่เหมาะสมซึ่งเป็นเรื่องที่ยากสำหรับมือใหม่ แต่เน้นการมีวินัยในการลงทุนโดยลงทุนเท่า ๆ กันทุกเดือนไม่ต้อง timing market ให้เสีย mood ผมเองตอนเริ่มลงทุนใหม่ก็ใช้วิธีที่พี่บอกมาเนี่ยละครับ แต่เจอ mr market หลอกซะจนออกนอกลู่นอกทาง ยังหาทางกลับไม่เจอ ผมมีความเห็นในหุ้นแต่ละตัวดังนี้ครับ

    1.ADVANCE เนี่ยถ้า 3G เกิดจริง ๆ คงจะกลายเป็นหุ้นโตเร็วอีกครั้งนึง เนื่องจากเป็นที่หนึ่ง มีฐานลูกค้าเยอะ และมือถือเนี่ยใครไม่มีเป็นตก trend

    2.BANPU ไม่ค่อยได้ตาม แต่การเป็น commodity ต้นน้ำที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมและพลังงานที่โลกยังคงต้องการใช้เนื่องจากต้นทุนถูกกว่าอย่างอื่น และการที่จีน อินเดียรวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วจะฟื้นตัว ดังนั้น demand ค่อนข้างจะโต อีกท้งการเป็นที่หนึ่งและมีการกระจายแหล่งผลิต รวมถึงมีรายได้จากโรงไฟฟ้า ทำให้มีการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

    3.BGH no idea จริง ๆ สำหรับกลุ่มนี้ แต่ trend สุขภาพคาดว่าน่าจะไปได้

    4.CPN ส่วนตัวเห็นว่าคนเรายังชอบเดินห้างอยู่ น่าจะพอไหว

    5.HMPRO ไม่ค่อยจะมีข้อมูลตัวนี้สักเท่าไหร่ แต่คาดว่ายังเพิ่งเริ่มออกเดิน ยังโตได้อีกเยอะ

    6.MINT ไม่ค่อยได้ตาม แต่ชื่นชมในทีมผู้บริหาร และธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารน่าจะไปได้ดี เนื่องจากเมืองไทยน่าท่องเที่ยว และคนไทยมีอัฐยาศัยดีและรักการบริการ

    7.PS บ้านยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญของมนุษย์ และการที่บริษัทมีการใช้ technology รวมถึงบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีการมองหาโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ

    ดังนั้นถ้าใครที่มีความสามารถมากกว่าปกติอาจจะรอซื้อได้โดยไม่ต้อง DCA แต่ว่าขนาดพี่สุมาอี้ยงแนะนำให้ DCA ดพราะว่ากลัวจะหลงทางไปกลับมายาและร้อยเล่ห์ของ mr market ซะก่อน

    1. 3G เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมเลือก ADVANC อย่างที่คุณ TPH ว่ามาจริงๆ ครับ

      ช่วงนี้รอบๆ ตัวผมสังเกตเห็นวิถีชีวิตแบบ Mobile ซึ่งอาจจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของชาวกรุงไปได้อีกระดับหนึ่งในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ถ้ามันมาจริงๆ ผู้ให้บริการมือถือน่าจะกลับมาโตเร็วได้ครับ

      เห็นเขาว่า DTAC จะมีต้นทุนลดลงมากถ้าหาก 3G มาจริงๆ แต่เหตุที่ผมไม่ได้เลือก DTAC เพราะผมมองว่าบริษัทนี้ยังปรับตัวช้ากว่าคู่แข่ง

      ส่วน True ปรับตัวได้เร็ว แต่ธุรกิจอื่นของ True มีความเสี่ยงหลายอย่าง อีกทั้งยังต้องการการลงทุนเพิ่มอีกมาก ในขณะที่ฐานะการเงินไม่อำนวย

      ก็เลยมาลงที่ ADVANC

      1. ผมว่าสื่อสารเป็นหุ้นที่ยังน่าสนใจ(แต่ไม่ใช่ตอนนี้ถ้ายังไม่มีนะคับ)ถ้ามีการใช้number portabilityอาจจะมีการล้มยักษ์เกิดขึ้นก็ได้นะคับ ผมว่าอาจจะมีอะไรsurpriseกับหุ้นสื่อสารเยอะนะคับถ้าใช้ขึ้นมา

      2. ก็เป็นไปได้ครับ ที่จริงหุ้นสื่อสารไม่ค่อยน่าลงทุนเท่าไร เพราะมีความไม่แน่นอนรออยู่เยอะมากๆ

      3. number portablity ผมกลับไม่คิดว่าเกิดการล้มยักษ์ครับ อันนี้เหตุผลหนึ่งจากการฟัง CEO Advanc แสดงทัศนคติเรื่องนี้เองด้วย

        อย่างแรกคือ ราคา่ค่าโทรวันนี้ ฮั้วกันอย่างชัดเจน (ไม่มีสงครามราคาอีกเลย นับจากหลายปีโน้น)

        อย่างสอง AIS รุกโปรโมชั่นที่ไม่เกี่ยวกับค่าโทรหนักหน่วงมาก ลูกค้า Dtac น่าจะเข้าใจประเด็นนี้

        อย่างสาม ทุกยี่ห้อคิดค่าโทรเป็นนาทีกันหมดแล้ว หึๆ

      4. ผมว่าน่ากลัวที่สุดในอุตฯ นี้คือ กทช.ครับ

        คอยสร้างความคลุมเครือ และ ถูกวัดผลงานจากการช่วยผู้บริโภคด้านเดียว

  7. มาให้กำลังใจ(และหวังว่าผมจะได้อยู่ดูถึงวันนั้นด้วยนะคับ555) การทดลองครั้งยิ่งใหญ่ทั้งทีน่าจะเปิดตัวซื้อเอาฤกษ์09/09/09 ยกเว้นครั้งนี้เอาเคล็ด555

    1. 15 ปีเป็นระยะเวลาที่นานมาก เพราะเกือบเท่ากับครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของผมเลยทีเดียว มันจึงเป็นการทดลองที่ต้องการความวิริยะสูงมากๆ ผมจึงเรียกมันว่าการทดลองครั้งยิ่งใหญ่

  8. ชอบแนวนี้มากเลยครับ เป็นรูปธรรมมากครับ

    ช่วยเชียร์ครับ

    1. ชอบหน้าตาของเว๊บ wannik.com ครับ เป็นธีมเดียวกันกับรูปเล่มหนังสือของสนพ.เลย

  9. ตอนนี้สนใจลงทุนระยะยาวมากๆ

    อยากถามพี่นิดนึงครับ ถ้าเกิดผมมีเวลาและศึกษาหาความรู้เพียงพอ

    การวัดมูลค่าหุ้นน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการลงทุน ใช่มั้ยครับ

    1. การลงทุนระยะยาวสำคัญที่สุดคือการมองภาพใหญ่ให้ออกครับ

  10. พี่สุมาอี้ อย่าลืมว่ามีพอร์ตจำลองที่พี่เคยทำไว้อีกอันนึงนะครับ
    จำได้ว่ามี hmpro กับ pttep และอีก 2-3 ตัว ยังไงอย่าลืมเอามาเทียบกันและติดตามผลนะครับ

  11. average person ทำได้ทุกคนรึเปล่า ผมไม่แน่ใจอ่ะครับ พี่สุมาอี้

    การเลือกหุ้นมาได้ 7 ตัวแบบนี้ ผมว่าก็ไม่หมูเท่าไหร่ ยิ่งต้องอัพเดทตัวใหม่ด้วยล่ะก็

    ส่วนการซื้อแต่ละเดือน เดือนละตัว ทำไมไม่ซื้อเฉลี่ยทุกตัวล่ะครับ
    เพราะน่าจะได้ตัดเรื่อง market timing ออกไป แบบสมเหตุสมผลกว่า

    ยังมีอีกหลายคำถามเลยครับ แต่ผมให้กำลังใจเต็มที่ เป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก

    1. ผมบังคับให้เลือกหุ้นถึง 7 ตัว เพื่อให้ average person กับ expert ไม่ต่างกันมากครับ

      การเลือกหุ้นแค่ 2-3 ตัวจะมีโอกาสชนะตลาดแบบเยอะๆ ได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้น ความเก่งกาจของนักลงทุนจะมีผลอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ

      การเลือกหุ้นจะมองจากภาพใหญ่เป็นหลัก ภาพใหญ่ควรไม่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 3-5 ปี ดังนั้น การอัพเดทจึงมีน้อยมากๆ ถ้าไม่จำเป็น ผมจะไม่อัพเดทเลยครับ

      ส่วนเรื่องซื้อเดือนละตัว ผมเริ่มคิดมาจาก เงินจำนวนน้อยสุดที่ซื้อหุ้นแล้วไม่ติดค่าคอมขั้นต่ำคือ 2 หมื่นกว่าบาท ถ้านำเงินจำนวนนี้มาซื้อ 7 ตัวเลย จะเป็นเบื้ยหัวแตกมาก ทำให้ปัดเศษหุ้นวุ่นวายสุดๆ ก็เลยต้องใช้วิธีซื้อเดือนละตัว แต่การซื้อสลับไปเรื่อยๆ โดยห้ามสลับลำดับ ช่วยบังคับให้ timing ไม่ได้อยู่แล้วครับ

  12. ผมโหวตให้พี่ไป 1 เสียงแล้วนะครับ

    ทำไมต้องเป็นหุ้นจำนวน 7 ตัวครับพี่ และทำไมต้องใช้เวลาทดสอบถึง 15 ปี
    ผมคิดว่าเวลา 10 ปีก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่จะใช้วัดผลของการลงทุนระยะยาวแล้วน่ะครับ

    1. มีการวิจัยพบว่าการกระจายหุ้นมากกว่า 15 ตัวขึ้นไปไม่ add value ดังนั้นมากสุดควรไม่เกิน 15 ตัว

      ส่วนถ้าซื่อแค่ 2-3 ตัว ผมมองว่าความเก่งของนักลงทุนเองจะมีผลอย่างมาก ซึ่งผมไม่ต้องการวิธีการลงทุนแบบนั้น

      ดังนั้นก็ควรจะอยู่ระหว่างตรงกลางระหว่าง 2 กับ 15

      และโดยส่วนตัวผมก็ชอบเลข 7 ด้วย อิอิ

      ส่วนเรื่อง 15 ปีนั้น เป็นเพราะผมมองว่าสมัยนี้อุปสรรคของการเป็นนักลงทุนคือ วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ ครับ อาจจะทุก 8 ปี ดังนั้น การลงทุนระยะยาวควรมีระยะหวังผล 15 ปี วิกฤตจึงจะไม่มีผลครับ

  13. สงสัยว่า วันหน้าจะซื้อหุ้นในรายชื่อนี้ ต้องซื้อก่อนวันที่ 15 ฮ่าๆๆ (8)

    จริงๆโดยพื้นฐานแนวคิดของการถือหุ้นระยะยาวอย่างหนึ่งก็คือ บริษัทหรือหุ้นในระยะยาวจะต้องขึ้นไปตามสภาวะเงินเฟ้ออยู่แล้ว เพราะฉนั้นการลงทุนยาวๆ เวลาก็จะช่วยให้หุ้นหรือกิจการเติบโตไปได้

    สำหรับ average lame man หรือ lemon man ลงทุนไปยาวๆสิบห้าปี ปีนึงประมาณสามแสน รวมได้ประมาณสี่ล้านห้า เป็นเงินต้นไม่รวมปันผลที่ลงไปทบอีก แล้วเกิดสมมติเงินปันผลนะเวลานั้นๆซะสิบถึงยี่สิบเปอร์เซนต์ของเงินต้น ก็เป็นรายได้ต่อปีแบบสบายๆ สี่แสนถึงแปดแสน (ไม่รวมเครดิตภาษี ปันผลสี่แสนถ้าไม่มีรายได้อื่น ก็น่าจะได้คืนแสนกว่า) ถ้าอยู่คนเดียวก็น่าจะสบายๆ

    ผมก็มีรูปแบบนี้แต่ลงในแบบบริษัทผู้นำของแต่ละเซกเมนต์ประมาณสิบตัว ราคาหุ้นก็ได้กำไรแต่ไม่มากนัก แต่ปันผลค่อยๆโตขึ้นทุกที เสียอย่างเดียวปีนี้ไม่มีวินัย ดันขายออกไปเยอะมาก 🙁 ทำมาตั้งหลายปี ปีนี้อยาก (โลภ) ช็อตเพื่อซื้อคืนให้ได้หุ้นเพิ่ม (จริงๆไม่มั่นใจว่าศก.โลกฟื้นจริง) ขายไปแล้วได้แต่มองตาปริบๆ

    ถ้าหากใครอยากทำวิธีนี้แต่ไม่มั่นใจว่าจะมีวินัยหรือเปล่า ลองปรึกษาทาง sicco ดู เพราะที่นั้นมีบริการซื้อหุ้นให้ทุกเดือน โดยหักบัญชีเลย จะได้ไม่ต้องมากังวลว่าจะรักษาวินัยได้หรือเปล่า

    เรื่อง 3G มองไปในอนาคต ผมชอบทรูมากที่สุด แต่ก็ติดเหมือนที่หลายคนว่า ฐานะทางการเงินไม่ค่อยดี ทำให้คุณภาพของโครงข่ายก็ไม่ค่อยดีไปด้วย แล้วก็กลายเป็นงูกินหาง

    ถ้าหากทรูอัดฐานโครงข่ายในกทม.และปริมณฑลให้แน่นๆ บวกหัวเมืองใหญ่ แล้วใช้คอนเทนต์นำ ก็น่าจะทำให้ได้ลูกค้ารุ่นใหม่มากขึ้นและเพิ่มรายได้ต่อเบอร์ได้ด้วย

  14. ไม่ทราบคุณนรินทร์เคยศึกษาเกี่ยวกับ fundamental index อย่างพวก wisdomtree บ้างหรือเปล่า ผมรู้สึกว่า หลักการมันคล้ายกันอยู่บ้าง แต่ของคุณมัน Subjective กว่ามากๆเรื่อง การวิเคราะห์ เพราะเกณฑ์เป็น qualitative

  15. “เรื่องซื้อเดือนละตัว ผมเริ่มคิดมาจาก เงินจำนวนน้อยสุดที่ซื้อหุ้นแล้วไม่ติดค่าคอมขั้นต่ำคือ 2 หมื่นกว่าบาท ถ้านำเงินจำนวนนี้มาซื้อ 7 ตัวเลย จะเป็นเบื้ยหัวแตกมาก”
    -> พี่นรินทร์หมายความว่าถ้าไม่มีค่าคอมขั้นต่ำ ก็อยากจะซื้อเจ็ดตัวพร้อมกันมากกว่ารึเปล่าครับ

    เพราะที่ใช้อยู่ตอนนี้กับ Broker หนึ่งก็ไม่มีกำหนดขั้นต่ำในการซื้อ ถ้าซื้อผ่าน Internet และได้เด้งที่สองกับค่าคอมที่ถูกกว่าการซื้อกับมาร์ด้วย
    คิดว่าถ้าซื้อทุกตัวในเดือนหนึ่ง ๆ เลย น่าจะทำให้ผลน่าเชื่อถือมากกว่ารึเปล่าครับ รวมถึงจะทำให้ไม่มีข้อกังขาในอนาคตที่จะถึงนี้เวลาที่ตลาดแกว่งมาก ๆ ในระยะสั้น ๆ ไม่กี่เดือนด้วย เพราะซื้อ 7 ตัวนี่ แค่ตัวแรกกับตัวที่ห้าก็ห่างกันตั้งหลายเดือนมากแล้ว (สำหรับผม ค่อนข้างเชื่อในสถิติ จึงไม่มีข้อกังขาในวิธีของพี่ครับ แค่กลัวว่าเดี๋ยวจะมีคนค้านในประเด็นที่ไม่เป็นประเด็นพวกนี้ได้)

    ผมสงสัยข้อสองนิดนึงน่ะครับที่บอกว่า
    2. ซื้อหุ้นหนึ่งตัว ทุกวันที่ 15 ของเดือน (หรือวันทำการถัดไปถ้าตลาดปิด) ตอนปิดตลาด เป็นเงิน 25,000 บาท (ปัดเศษลงให้ Lot size ลงตัว) หรือไม่เกิน 100 หุ้น
    -> หมายถึงแต่ละตัวจะซื้อแค่ 100 หุ้น ไม่ใช่ด้วยด้วยน้ำหนักเงินที่เท่ากัน คือ 25,000 เหรอครับ

    1. โทษทีครับอ่านไม่ดี พึ่งเห็นว่าพี่อธิบายไว้แล้วว่าเหตุผลไม่อยากให้ต้องมาคิดเลขปัดเศษหุ้น ซึ่งคงวุ่นวายไปหน่อยจริง ๆ คงไม่ใช่เพราะเรื่องข้อจำกัดขั้นต่ำ 25,000 เป็นประเด็นสำคัญ
      –เห็นด้วยครับ–

  16. จริง ๆ แล้วเท่าที่ดู ตัวที่มีประเด็นที่ทำให้พี่ต้องแยกเดือนนี่ เดาว่าเป็นเพราะ BANPU รึเปล่า แค่ร้อยหุ้นก็มากกว่าอีกหกหุ้นรวมกันอีกมั้ง 5

    แต่ชอบวิธีพิสูจน์ของพี่มาก มากกว่าการ Regression ถอยหลัง 5 ปี 😀
    จะคอยติดตามครับ 🙂

  17. เมื่อครบกำหนด 15 ปีแล้ว จะขายหมดเลยหรือเปล่าครับ หรือว่าถือต่อ ถ้าผมมีลูกตอนนี้ เมื่อถึงตอนนั้นลูกก็เป็นหนุ่มพอดี จะได้ขายเป็นทุนการศึกษาให้ลูก

  18. น่าสนใจมากครับ

    แต่อยากทราบว่า
    1. ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ในการบอกว่า ธุรกิจไหนจะเติบโตในระยะยาว
    – สื่อสาร
    – พลังงาน
    – โรงพยาบาล
    – developer ประเภทให้เช่าพื้นที่
    – ค้าปลีก (เทคโน)
    – ท่องเที่ยว (โรงแรม อาหาร)
    – developer ประเภทที่อยู่อาศัย

    วิธีการที่ใช้เลือกหุ้นจากธุรกิจเหล่านั้น
    ADVANC, BANPU, BGH, CPN, HMPRO, MINT, PS

    ขอบคุณมากครับ

  19. น่าจะซื้อวันนี้เลยนะ ฤกษ์ดีซื้อหุ้นตัวแรก 9/9/09 เวลา 9.09 นาที ร้อยปีจะมีสักหน แต่เอาเถอะ ฤกษ์วันที่ 15 เป็นเลขแห่งความสำเร็จ ดาวอาทิตย์กับ พฤหัส เวิร์คมาก แต่การลงทุนแบบนี้ ชีวิตเกิดมาทั้งที น่าทำนะ
    เปอร์เซ็นต์ขาดทุนไม่มีเลย ยกเว้นภาวะสงครามแย่งทรัพยากร ตลาดวาย ผลตอบแทนในอนาคตดีกว่าฝากแบงค์เป็นใหนๆ แต่ว่า ความรู้สึกส่วนตัวนะครับ การทดลอง กับ บรรลุศาสตร์การลงทุน มันต่างกัน ถ้าวันนี้เรามั่นใจน่าจะเป็นการ เอาทฤษฎีมาลองปฎิบัติ แต่การทดลองแสดงว่า อีก 15 ปี นับจากนี้เป็นบทเรียน แล้วของจริงคือ หลัง 15 ปีไปแล้ว เข้าวัยชราพอดี อยากชนะตลาด ทุกปี ได้ป่าวครับ หรือสามปี 5 ปีวัดกันก็ำไ้ด้

    1. ถ้าอีก 15 ปี กองทุนนี้ได้ผลตอบแทนมากกว่าคนที่พยายาม timing market ในช่วงเวลาเดียวกันแต่ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ผมกะจะคุยทับพวกเขาว่า “เห็นมั้ย ถ้าเชื่อผมเมื่อ 15 ปีก่อนก็รวยไปแล้ว ตอนนี้จะกลับมาทำตามผมก็ไม่ทันแล้ว เพราะคุณเสียเวลาเปล่าไปกว่าครึ่งชีวิตแล้ว”

      555+

      1. มาลงชื่อทำการทดลองด้วยคนค่ะ แต่จะขอเริ่มก่อนพรุ่งนี้เลย เอาฤกษ์ 911 นี่แหละ แล้วก็ว่าจะทดลอง TMB50 ไปพร้อมๆ กันด้วย อีก 15 ปีมาดูกันว่า average person อย่างเราจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ^-^

  20. ขอเเชร์ เรื่อง Dollar Cost Average หน่อย
    ผมเริ่มซื้อ กองทุน Jumbo 25 ทหารไทยทุกๆเดือนจาก มค 2008
    ปัจุบัน Return ได้ประมาณ 28 % เเพ้ตลาดหลุดลุ่ยเลย

    1. ถ้าช่วงเวลาที่วัดเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นตลอด DCA น่าจะแพ้ตลาดแน่นอน เพราะการซื้อตูมเดียวด้วยเงินทั้งหมดตั้งแต่แรกย่อมได้มากกว่าในตลาดขาขึ้นอย่างเดียว

      แต่ มค 2008 จนเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ขาขึ้นตลอดนี่น่า

      น่าจะเป็นเพราะอะไร มีไอเดียมั้ยครับ

      1. การเปรียบเทียบ Time frame ผิดครับ ถ้าเทียบ มค 2008 to date
        กองผมชนะตลาด อิ อิ

        เรื่องการซื้อเเบบ ของอาจารย์มันขัดกับหลัก VI ไหม
        ถ้าราคาเกินมูลค่า ก็ยังซื้อหรือครับ?

      2. พอร์ตนี้ผมออกแบบมาให้ไม่ต้องสนใจเรื่องมูลค่าหุ้นเลย เนื่องจากเราทยอยซื้อติดต่อกัน 15 ปี เราจะซื้อแพงบ้าง ถูกบ้าง ปนๆ กันไปเอง สุดท้ายต้นทุนของเราจะกลางๆ ไม่ถูก ไม่แพง แต่มีข้อดีคือ เราไม่ต้องหา fair value ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่บ่นว่าเป็นเรื่องยาก

        แต่ถ้าใครทำแบบนี้ แล้วไม่ซื้อติดต่อกัน 15 ปี อันตรายครับ เพราะว่ามีโอกาสซื้อแต่ของแพงแน่นอน

        ส่วนพอร์ตหลักของผม ผมไม่ได้ทำแบบนี้ ผมอาศัยการหา fair value ซึ่งผมคาดหวังผลตอบแทนสูงกว่านี้ครับ

  21. น่าสนใจมากครับพี่
    ผมรู้สึกเหมือนเราสามารถเห็นถึงภาพความสำเร็จได้ก่อนเริ่มลงมือเสียอีก

    ขอร่วมเป็นสักขีพยานอีกคนหนึ่งครับ

  22. ดูจากแนวทางการลงทุนและรายชื่อหุ้นแล้ว เป็นแนวทางที่สามารถใช้ได้แม้จะเป็นportใหญ่ๆระดับกองทุนรวมเลยนะครับ

    ถ้าBeatตลาดได้ในระยะยาวจริงๆนี่ ถึงไม่ต้องมี CFA Lev3 เราก็บริหารกองทุนชนะ Fund Manager ส่วนใหญ่ได้เลยนะครับเนี่ย ด้วยการวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ

    จะคอยติดตามผลงานครับพี่ อีก15ปีผมจะอายุ40 ถ้าผลสรุปว่าการทดลองของพี่ได้ผลจิงๆผมจะขอเปลี่ยนมาใช้มั่ง คงยังพอมีเวลา ^__^

    1. ครบ 15 ปีจะเอาเข้าไปจดทะเบียนในตลาดให้ได้เทรดกัน อิอิ

  23. ความคิดสุดยอดเลยค่ะ จะเจริญรอยตามน่ะค่ะ แต่พอร์ตคงเล็กกว่าทุกๆคน เพราะรายได้ยังไม่เพียงพอ
    แบบว่าเป็นข้าราชการอ่ะค่ะ ผลตอบแทนก็คงไม่เท่ากับคนอืนๆ แต่ก็ขอขอบคุณที่แบ่งปันความคิดในการนำเงินออมไปลงทุนและคาดว่าคงให้ผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพกว่าพอร์ตอื่นๆ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนที่เจริญรอยตามน่ะค่ะ

    1. เยี่ยมครับ

      ทุนตั้งต้นเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น อีกปัจจัยที่สำคัญมากกว่าคือ เวลา ครับ ใครที่ลุกขึ้นมาเริ่มต้นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ได้เปรียบที่สุดครับ

      ตอนบัฟเฟตเริ่มต้นลงทุน มีนักลงทุนที่มีเงินหนากว่าบัฟเฟตเยอะแยะ แต่จะมีสักกี่คนที่ลงทุนต่อเนื่องได้ 35 ปีอย่างบัฟเฟต

      ที่จริงผมเสียเปรียบนักลงทุนรุ่นใหม่อยู่หลายช่วงตัวทีเดียว เพราะสมัยผมอยู่มหาลัย ไม่มีการพูดถึงเรื่องตลาดหุ้นกันมากขนาดนี้ ผมมาเริ่มต้นลงทุนก็อายุปาไป 28 ปีแล้ว

      คนที่เริ่มเร็วกว่าทุก 7 ปี จะสามารถ double เงินต้นได้มากกว่าอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวครับ

  24. สู้ค่ะ จะลองดู เพราะคิดจะเริ่มเก็บออม มาอ่านแล้ว จะลองไปหาดูบ้าง แต่ไม่มากตัวได้เปล่า เด๊่ยวจะตั้งใจศึกษา ดีๆๆ

    แค่เริ่มต้น ก็น่าจะได้ค่ะ

    ฝากตัวด้วยค่ะ ถ้าสงสัยจะถาม อาจจะดูว่าดง่นิด แต่ว่าไม่อยากจะเฝ้าตลาดมาก เพราะกลัวว่าจะพลาดเหมือนเพื่อน ค่ะ ขยาดไปหลายที แต่กว่าจะกลับได้มาตอนนี้ ทันเปล่าค่ะ แต่ยังไงรบกวนด้วยจ้า

  25. ถ้าจะทำแบบ 7thLTG จะเริ่มต้นเมื่อไรก็ได้ครับ

    น้อยกว่า 7 ตัวก็ได้ครับ ที่จริงยิ่งน้อยตัวยิ่งมีโอกาสชนะตลาดแบบขาดลอย แต่ว่าต้องมั่นใจว่าตัวเองเลือกหุ้นเก่ง มิฉะนั้นจะให้ผลตรงกันข้ามไปเลย

  26. โห เดือนละ ๒๕๐๐๐ รายได้ต่อเดือน คงต้องเยอะ พอตัวน่าดู

    1. ที่จริง เดือนละ 7000 ก็พอแล้ว ผมแค่ต้องการประหยัดค่าคอมแบบสุดๆ เท่านั้น (งก)

  27. ขอฝากตัวด้วยครับพึ่งเริ่มหัดศึกษาครับ ^^ กำลังเก็บเงินเปิดพอทอยู่ครับ

  28. แสดงว่าผมเริ่มช้าไปไหมครับนี่ จะ 25 แล้วยังไม่มีเงินเก็บเลยครับ ใช้หมด -*-

    ปกติการเปิดพอทโดยใช้บัญชีเงินสดมันต้องมีวงเงินขั้นต่ำประมาณเท่าไรห่อ่ะครับในการเปิดพอท

  29. แล้วถ้านำเงินไปซื้อกองทุนรวมดัชนีแทนละครับ พี่มีความเห็นว่าไงครับ ผลน่าจะพอกันไหม

    1. ที่จริงตอนแรกผมก็คิดว่าจะสนับสนุนให้คนที่ไม่ค่อยมีความรู้ซื้อเฉลี่ยกองทุนรวมดัชนีเหมือนกัน

      แต่พอมาลองนึกว่าถ้าประเทศไทยเป็นหุ้นหนึ่งตัวชื่อว่า SET มันน่าลงทุนมั้ย ผมรู้สึกว่ามันเฉยๆ มาก ประเทศไทยไม่ได้มีอนาคตที่สดใสขนาดนั้น

      บางคนมีแนวคิดว่า ยังไงๆ ก็ต้องลงทุนเสมอ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่า สิ่งที่เราลงทุนจะต้องเป็นสิ่งที่เราเห็นว่ามันมีอนาคตที่ดีด้วย ถ้าเราไม่ได้คิดว่ามันน่าลงทุน เราก็ไม่ควรลงทุน เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่า การหันมาเลือกหุ้นบางตัวในเซ็ตแล้วลงทุนเฉลี่ยแทน น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า

Comments are closed.