โบราณว่า “อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” คตินี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในแวดวงการลงทุน หมายความว่า เราไม่ควรลงเงินทั้งหมดไปกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงตัวเดียว
ประมาณยุคปี 70 ได้มีผู้ใช้คณิตศาสตร์พิสูจน์ว่าการซื้อหุ้นหลายๆ ตัวสามารถลดความเสี่ยงได้โดยไม่ทำให้ผลตอบแทนที่คาดหวังลดลงในสัดส่วนที่มากเท่า นายคนนี้มีชื่อว่า Harry Markovitz วิทยานิพนธ์ของนายคนนี้มีความยาวแค่ 16 หน้าเท่านั้น แต่ปฏิวัติวงการการเงินโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม มีนักลงทุนอาชีพจำนวนมากต่อต้านแนวคิดนี้และบอกว่าที่จริงแล้วเราอาจ ใส่ไข่ทั้งหมดลงในตะกร้าใบเดียวก็ได้ ถ้าเราพยายามถือตะกร้าใบนั้นไว้ให้ดีที่สุด หมายความว่า จะลงทุนอะไรนั้น สำคัญที่สุดก็คือเรารู้จริงในสิ่งที่เราลงทุนขนาดไหน ถ้าเรารู้จริง การกระจายความเสี่ยงแทบจะไม่มีความจำเป็นเลย
ผมจะไม่ขอถือหางข้างใดข้างหนึ่ง ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าแนวการลงทุนทุกแนวล้วนแล้วแต่มีส่วนถูกทั้งนั้น ไม่มีวิธีไหนที่ถูกหมดหรือผิดหมด ของส่วนใหญ่ในโลกนี้มักเป็นสีเทามากกว่าที่จะเป็นสีขาวหรือสีดำไปเลย ดังนั้นในที่นี้ผมจึงไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ขอตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับการกระจายความเสี่ยงแทน ดังนี้
ผมเคยฟังรายการ Talk show เรื่องการลงทุนรายการหนึ่งในโทรทัศน์ พิธีกรถามผู้เชี่ยวชาญว่า ถ้าปีหน้าอัตราดอกเบี้ยจะมีความผันผวนมาก นักลงทุนควรรับมืออย่างไร ผู้เชี่ยวชาญตอบว่า นักลงทุนควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง
คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ฟังแล้วขัดหูผมยิ่งนัก เพราะเป็นคำตอบที่ผิด ที่ผมบอกว่าผิดไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อ Markovitz แต่ที่ผิดเพราะแม้แต่ Markovitz เองได้ฟังดังนี้ก็จะบอกว่าผิดด้วย อย่าลืมว่าอัตราดอกเบี้ยเป็น systematic risk คือเป็นความเสี่ยงของทั้งตลาด ความเสี่ยงของทั้งตลาดนั้นไม่สามารถถูกทำให้ลดลงได้ด้วยการกระจายความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดได้เฉพาะ unsystematic risk เท่านั้น ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงเฉพาะของหุ้นแต่ละตัว เช่น สุขภาพของผู้บริหาร การที่โรงงานอยู่ใกล้โรงเก็บระเบิด โอกาสในการถูกผู้บริโภคฟ้องร้อง ฯลฯ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าการกระจายความเสี่ยงมีประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่สามารถพึ่งการกระจายความเสี่ยงแต่เพียงอย่างเดียวได้ หุ้นทุกตัวที่เราซื้อจะต้องเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีในตัวของมันเองทุกตัวด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อหุ้นบางตัวเพื่อต้องการให้พอร์ตของเรามีการกระจายความเสี่ยงเท่านั้น ผมถือคติว่า ถ้าคุณพบโอกาสที่ดีมากกว่าหนึ่งในตลาดหุ้น การมีหุ้นหลายตัวย่อมดีกว่าการมีหุ้นตัวเดียว แต่ถ้าคุณหาโอกาสที่ดีได้แค่โอกาสเดียว ผมขอแนะนำให้คุณถือหุ้นแค่ตัวเดียวนั่นแหละ พูดง่ายๆ ก็คือ คุณภาพของโอกาสต้องมาก่อน ส่วนการกระจายความเสี่ยงนั้นถ้าทำได้ก็ดี ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องดันทุรัง จำไว้ว่าส้มเน่าลูกใหญ่หนึ่งลูก กับส้มเน่าลูกเล็ก 5 ลูก ไม่แตกต่างกันมากหรอกครับ
ผมเพิ่งเคยเข้ามาอ่านครั้งแรกครับ รู้สึกสนุกมากเลยแต่อยากจะมีความคิดเห็นแลกเปลี่ยนด้วยครับเกี่ยวกับเรื่องของการกระจายความเสี่ยงครับ จริงๆแล้ว การที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นถึงแม้ทุกธุรกิจทุกอุตสาหกรรมจะประสบชะตากรรมเดียวกันหมด แต่ถ้าเราดูให้ลึกและลองหาความสัมพันธ์ดู ผมว่าธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากันนะครับ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงน่าจะช่วยได้ เช่นธุรกิจธนาคาร หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับการเช่าซื้อ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นหากข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือแม้แต่ firm ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ก็ยังได้รับผลจากอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน เพราะสัดส่วนเงินทุนไม่เหมือนกัน หรือภาระหนี้สินก็มีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ผลของอัตราดอกเบี้ยยังกระทบตัวแปรทางเศรษฐกิจอื่นๆ อีกเช่นอัตราการแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน ตัวแปรทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีผลกระทบต่อผลประกอบการของแต่ละธุรกิจไม่เท่ากัน
ถ้าคนที่ไม่มีข้อมูลข่าวสารสักเท่าไร การกระจายความเสี่ยงและหวังการโตเท่ากับตลาดโดยภาพรวมไปเรื่อยๆ ในระยะยาว ก็น่าจะเป็นทางออกหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วผมเห็นด้วยนะครับ ว่าถ้าหวังจะได้กำไรมากๆ การลดความเสี่ยงโดยการหาข้อมูลเพื่อให้ได้หุ้นที่ดีและกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นที่เราคิดว่าเหมาะสมแล้วย่อมจะให้ผลที่ดีกว่า
มาคาราวะแล้วครับ ขอนำไปขยายต่อนะครับ
ขออนุญาตขุดมาถามนิดนึงครับ
จำได้ว่าท่านแม่ทัพเคยพูดถึงว่าความผันผวนของราคาหุ้นแต่ละตัว ถ้าบวกลบไม่เกิน 5% ในแต่ละวัน น่าจะถือได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สมมติว่าเรามีการกระจายความเสี่ยงในหุ้นจำนวนหนึ่งอย่างสมดุลแล้ว (ไม่นับกรณีต้องการตีแตกหุ้นบางตัว) ถ้ามองมูลค่าพอร์ททั้งพอร์ท มีเกณฑ์อะไรพอบอกได้มั๊ยครับว่าพอร์ทผันผวนเกินไป เอาแบบกะๆ ก็ได้ครับ ขอบคุณมาล่วงหน้าครับผม
ปล. ไม่ด่วนนะครับ รู้ว่าช่วงนี้ท่านแม่ทัพย้ายข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ยุ่งมากแน่ๆ
ปปล. เม้นท์ข้างบนบางอันผมเห็นเป็นอักษรขยะ ไม่แน่ใจว่าเป็นที่จอผมหรือที่ตัวข้อมูลครับ