ปี 2546 เป็นปีทองของนักเล่นหุ้น เพราะดัชนี SET index วิ่งติดต่อกันนานถึง 11 เดือนโดยไม่พักเหนื่อยเลย บางท่านได้กำไรมากถึง 50% ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี และเริ่มมีความคิดที่จะลาออกจากงานเพื่อมาเล่นหุ้นอย่างเดียว เพราะได้มากกว่าการทำงานกินเงินเดือนเป็นอย่างมาก
แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า ปี 2546 ดัชนี SET index ปรับตัวขึ้นไปมากถึง 100% ที่จริงแล้วการที่พอร์ตของคุณวิ่งแค่ 50% นั่นแสดงว่าคุณทำผลงานได้น้อยกว่าค่าเฉลี่ย
ประเด็นของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าเราควรวัดผลงานการลงทุนของเราอย่างไร ควรวัดว่าเราได้กำไรกี่เปอร์เซนต์ (Absolute Return) หรือว่าเราชนะตลาดที่เปอร์เซนต์ (Relative Return)
ที่จริงแล้วเราควรวัดผลงานของเราจาก Relative Return มากกว่า เพราะถ้าเราทำผลงานเป็นบวกได้แต่ได้น้อยกว่าตลาด เราก็ไม่ควรเล่นหุ้นด้วยตัวเอง ควรหันไปซื้อ Index Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนเหมือนดัชนีแทนจะดีกว่า เพราะวิธีนี้ไม่ต้องใช้สมองเลยแต่ทำผลงานได้เท่าตลาดทุกปี
ดังนั้นคนที่เล่นหุ้นด้วยตัวเองทุกคนจึงควรวัดผลงานของพอร์ตโดยเทียบกับตลาด แม้ว่าจะหมายถึงการที่คุณต้องรู้สึกอะไรแบบผิดธรรมชาติไปบ้างตัวอย่างเช่น ในปีที่พอร์ตของคุณขาดทุน 20% แต่ ตลาดปรับตัวลง 40% เป็นปีที่คุณควรจะดีใจจนลิงโลด ในขณะที่ถ้าปีไหนพอร์ตของคุณได้กำไร 50% แต่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 100% คุณก็ควรจะเสียใจ
นอกเหนือจากการวัดผลงานโดยเทียบกับตลาดแล้ว คุณควรตัดสินผลงานของคุณโดยเทียบกับตลาดในช่วงเวลาที่ค่อนข้างยาวอีกด้วย อย่างน้อยก็ควรจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี อย่าพยายามเอาชนะตลาดให้ได้ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือแม้แต่ทุกไตรมาส เพราะมันจะบีบบังคับให้คุณมองระยะสั้นมากเกินไป อันจะส่งผลเสียต่อผลงานของคุณในระยะยาวได้ จากการวิจัยพบว่า การเลือกซื้อกองทุนโดยดูจากผลงานเมื่อปีที่แล้ว จะไม่ทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จ เพราะกองทุนที่ทำผลงานได้ดีติดอันดับเมื่อปีที่แล้วจะมีชื่อปรากฏอยู่ในอันดับในปีต่อไปน้อยมาก จำไว้ว่าไม่มีหุ้นตัวใดในโลกที่บวกทุกวัน หุ้นที่วิ่งทุกตัวจะบวกบ้างลบบ้าง แต่รวมๆ กันแล้วในระยะยาวบวกมากกว่าลบ ก็เลยทำให้มีราคาสูงขึ้นได้
สำหรับผม ผมวัดผลงานของพอร์ตในช่วง 1, 3, 5 ปีที่ผ่านมา ถ้าผลงาน 1 ปี ไม่ดีผมจะเชื่อแค่ 50% ว่าผมไม่ได้เรื่อง ถ้าผลงาน 3 ปีของไม่ดี ผมจะเชื่อว่าผมลงทุนไม่ได้เรื่อง 70% แต่ ถ้าผลงาน 5 ปีของผมแพ้ตลาด ผมจะมั่นใจ 100% ว่าผมลงทุนไม่ได้เรื่อง ส่วนผลงานรายวัน รายเดือน และรายไตรมาส ผมไม่เคยใส่ใจเลยครับ
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบกองทุนรวมหุ้นต่างๆที่วัดผลตอบแทนเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ น่าจะวัดเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ บวก อัตราเงินปันผล ถึงจะพออยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ไม่งั้นชนะดัชนีต่ำกว่าร้อยละ ๔ นี่น่าจะถือว่าแพ้ตลาดนะ
เห็นด้วยที่ควรมองเทียบข้ามระยะเวลาที่นานหน่อย ขืนดูรายวันแย่แน่ๆเลย ผมว่าการดูช่วงสั้น อย่างรายเดือน รายไตรมาส และ YTD นี่มันเป็นการดูเพื่อกระตุ้นเราให้คิดทำให้ดีขึ้น แต่ทำแล้วดีขึ้นหรือแย่ลง ไม่มีใครบอกได้ แต่การดูคุณภาพความสามารถควรจะขยายเวลาให้นานขึ้นอีกหน่อย
ครับ ในอเมริกา พวกกองทุนจะถูกวัดผลงานเทียบกับ S&P500 ที่รวมเงินปันผลแล้ว แต่ไม่ทราบว่าประเทศไทยเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ดูเหมือนจะยังไม่มีมาตรฐาน ไม่มีใครรู้ไส้ในว่ากองทุนเหล่านั้นคิด benchmark มายังไง
ตอนนี้ได้ยินว่า SET มี TRI (Total Return Index) ออกมาแล้วนะครับ เป็น Index ที่นำเงินปันผลมาคิดด้วย
ใช้TRIเป็นตัววัดดีกว่าครับ
SETมันชนะอยู่แล้วสำหรับVI
แต่จะชนะตัวเองหรือเปล่าเนี่ยซิน่าคิด
ขอบคุณสำหรับบทความครับ น่าสนใจมากเลยครับ
พีสุมาอี้ครับพี่วัดผมการลงทุนเทียบกับอะไรครับ
ในอเมริกาเห็นวัดกับ S&P500 ในไทยวัดกับ set 50 หรือ 100 ครับ
และที่เขาวัดๆกันนี้เขาวัดตอนสิ้นปีใช้ไหมครับ
อิอิๆและเมื่อปีที่แล้ว(2009)พี่ Relative Return กี่ % ครับ
ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะครับ
ในมุมมองผม มองว่าซื้อหุ้นคือซื้อ (ส่วนหนึ่ง) ธุรกิจ
เพราะฉะนั้นผมตอบแทนควรวัดจากกำไรหรือกระแสเงินสดที่บริษัทสร้างได้
ตามสัดส่วนหุ้นที่เราเป็นเจ้าของครับ
เรื่องคำนวณ ผลตอบแทน นี้ เราต้องเอาเงินสด ที่กันไว้อยู่มาคิดด้วยมั้ยครับ
ยก ตย. สมมติเรามีเงินอยู่ล้านนึง ซื้อหุ้นแค่ 7 แสน โดยอีก 3 แสนกันไว้เป็นเงินสด ไว้เผื่อลงทุนตอนหุ้นตก ปีนั้น หุ้นไม่ตกเลย ปลายปีขึ้นมา +8% เฉพาะหุ้นที่เราถือ ชนะตลาดได้ผลตอบแทนไม่รวมปันผล 10% คือ 7 หมื่น แต่จริงๆ เรายังมีเงินสดอีก 3 แสนที่ไม่ได้ลงทุน คิดง่ายๆผลตอบแทนเป็น 0 เท่ากับ เราได้ผลตอบแทน 7 หมื่น จาก 1 ล้าน คิดเป็น 7%
อันนี้ ยก ตย.ง่ายๆ แต่จริงๆแล้ว จะมีการซื้อๆขายๆ ทำให้เงินปลายงวด ไม่ตรงกับต้นงวดอีก หรือ มีเงินเติมระหว่างงวด หรือว่ามีช่วงที่ hedge ด้วย TFEX แล้วเราจะวัดผลยังไงดีครับ
ไม่มีวิธีคำนวนผลตอบแทนที่ถูกต้องจริงๆ ในกรณีที่เราไม่ได้ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลาครับ แม้แต่ในหนังสือ CFA ยังเสนอทางเลือกในการคำนวณผลตอบแทนไว้หลายแบบ ให้เลือกเอาเอง ไม่มีวิธีไหนถูกต้องจริงๆ
โดยส่วนตัวผมว่าต้องนับผมตอบแทนจากกำไรในหุ้น เทียบกับทุนทั้งหมดของเรา คือ หุ้นและเงินสดรวมกัน ถ้าหากคิดแต่พอร์ตหุ้นเป็นฐานอย่างเดียว มันดูไม่แฟร์
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความยุ่งยากยังมีอีก เพราะต่อให้เราคิดรวมหุ้นและเงินสดทั้งหมดของเราเป็นฐาน แต่ในระหว่างปี เราอาจมีเงินก้อนใหม่เข้ามา เช่น เงินเดือนของเรา จึงยิ่งทำให้งงเข้าไปอีก เพราะไม่รู้ว่าจะนับเงินเดือนส่วนนั้นเป็นฐานด้วยอย่างไร เนื่องจากไม่ได้อยู่ตั้งแต่ต้นปี
ด้วยเหตุผลนี้ เวลาได้ยินใครบอกว่าเขาได้ผลตอบแทนปีนี้เท่าไร บางทีผมแทบจะไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าเขามีวิธีคำนวณอย่างไร ส่วนตัวผมแค่นับ Net Worth ทั้งหมดของตัวเอง ว่าแต่ละปีเพิ่มขึ้นมาเป็นเท่าไร ไม่ว่าจะเพิ่มมาจากช่องทางไหน แต่ไม่ได้สนใจว่า แต่ละปีจะถือว่าเราได้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะอันนั้นมันคำนวณให้ถูกต้องได้ยาก