จากที่เล่าไปสองโพสต์ที่แล้ว สมมติว่าเรามีพอร์ตหุ้นที่เต็มไปด้วยหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง และซื้อมาในราคาไม่แพง มีการกระจายของพอร์ตที่เหมาะสม เช่น 5-10 ตัว เราคงสบายใจ ที่จะถือพอร์ตนี้ไว้เฉยๆ ในระยะยาวๆ
แต่ในทางปฏิบัติ มีปัญหามากมาย ประการแรก หุ้นไทยถือยาวได้เหรอ?
ที่จริงผมเห็นด้วยว่า หุ้นไทยถือยาวไม่ได้ แต่ผมหมายความว่า หุ้นไทยส่วนใหญ่ถือยาวไม่ได้ ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่า หุ้นไทยทุกตัวถือยาวไม่ได้ และในความเป็นจริง ตลาดหุ้นไทยมีหุ้น 700 ตัว ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องเล่นทุกตัว ถ้าหากเราสามารถหาหุ้นที่มีคุณภาพสูงได้แค่ 5 ตัว จาก 700 ตัว เราก็สามารถสร้างพอร์ตในฝันของเราได้แล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับหุ้นไทย
มีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งของผมเคยบอกว่า การที่ PowerPoint มีฟังก์ชั่นหรูๆ นับพัน เช่น เสียงเอ๊ฟเฟ๊กต่างๆ อนิเมชั่น ฯลฯ ไม่ได้แปลว่าเราต้องใช้ฟังก์ชั่นเหล่านั้นทุกอัน ในการทำสไลด์ดีๆ สักเรื่อง ตรงกันข้าม การพยายามใช้ฟังก์ชั่นแฟนซีเหล่านั้นให้ครบทุกอันในสไลด์ของเรา กลับจะทำให้เราได้สไลด์ที่ดู unprofessional คนฉลาดเลือกใช้แค่ฟังก์ชั่นที่ทำให้สไลด์เราดูดี เรียบหรู แค่ไม่กี่ฟังก์ชั่น แต่ออกมาสวยงามกว่า
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราตกอยู่ในกับดักอะไรบางอย่าง ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน การที่ตลาดหุ้นไทยมีหุ้น 700 ตัว ไม่ได้แปลว่าเราต้องรู้หรือเล่นให้หมดทุกตัว ถ้าเราเลือกมาแค่ 5-10 ตัว แต่ก็สนใจอยู่แค่ไหน ถ้าหากมันสามารถตอบโจทย์เราได้ กลับดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะทำให้เราโฟกัสมากกว่า
สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือว่า ถ้าเราตั้งเป้าหมายที่จะลงทุนระยะยาว ให้เล่นให้แคบๆ เข้าไว้ คัดเลือกหุ้นที่น่าจะถือยาวได้แค่ 10-20 ตัวก็พอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ในตลาดหุ้นไทยที่แม้จะดูไม่มั่นคงนัก แต่ว่ามันมีหุ้นตั้ง 700 ตัว ต้องมีสัก 10 ตัว แหละน่าที่จะเข้าเกณฑ์ถือยาวได้ แล้วเราจะไปแคร์ทำไมว่าอีก 690 ตัว ที่เหลือถือยาวไม่ได้ มีใครบังคับให้เราเล่นหุ้นครบทั้ง 700 ตัวเหรอ ไม่มีสักหน่อย
ถ้าหาหุ้น 5-10 ตัว ที่ลงทุนระยะยาวได้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับตลาดหุ้นไทย (แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า หุ้นตัวไหนลงทุนระยะยาวได้ ใช้เกณฑ์อะไรวัด เรื่องนี้ขอเอาไปพูดถึงในตอนต่อๆ ไป) ปัญหาที่ยังเหลืออยู่ก็มีแค่ แล้วเมื่อไรเราจะซื้อหุ้นเหล่านั้นได้ในราคาที่เหมาะสม ประเด็นนี้ผมได้พูดไปแล้วในโพสต์ก่อนหน้า นั่นคือ นักลงทุนระดับเทพส่วนใหญ่ เลือกที่จะรอ และพวกเขาก็ยินดีรอนานมากด้วย พวกเขาไม่ยินดีที่จะซื้อๆ ไปก่อน ในราคาที่อาจจะยังไม่ถูกจริง เพียงเพื่อให้ได้ลงทุน แล้วก็ต้องมาเสียใจภายหลัง เวลาที่ตลาดหุ้นปรับฐานครั้งใหญ่ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับนักลงทุนระดับตำนานเหล่านั้น ผมคิดว่าสำหรับพอร์ต “ลงทุน” แล้ว เราต้องเป็นสุดยอดนักรอจริงๆ หุ้นจึงจะถือยาวได้
และนี่ก็เป็นปัญหาใหญ่ของนักลงทุนจำนวนมาก เพราะการรอนานมาก เป็นสิ่งที่ทรมาน นอกจากเรื่องนี้จะเป็นปัญหาเชิงจิตวิทยาแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องต้องถือเงินสดไว้นานๆ ทำให้เงินไม่ได้ทำงาน ซึ่งเป็นปัญหาทางการเงินที่เป็นรูปธรรมด้วย เรื่องนี้นักลงทุนระดับตำนานได้แก้ปัญหาไประดับหนึ่งด้วยการซื้อแล้วไม่ขายเลย แต่ปัญหาก็ยังไม่หมด แม้หลังจากซื้อไปแล้ว ก็จะมีหุ้นเต็มพอร์ต แต่ก่อนที่จะซื้อ ก็ยังต้องถือเงินสดไว้เฉย ซึ่งบางครั้งก็อาจจะนานถึง 5 ปีเลยก็ได้ ดังนั้น เพื่อที่จะแก้ปัญหานี้ สำหรับนักลงทุนระดับธรรมดาอย่างผมหรืออย่างเราๆ ท่านๆ ผมเห็นว่า เราควรจะเริ่มต้นจากการแบ่งเงินของเราออกเป็นสองพอร์ต พอร์ตแรกคือพอร์ตลงทุน ซึ่งเป็นพอร์ตที่สามารถรอนานแค่ไหนก็ได้ ส่วนพอร์ตที่สองควรเป็นพอร์ตที่ลงทุนแบบ DCA ด้วยเงินไม่มากนักต่อเดือน ระหว่างที่รอซื้อหุ้นลงทุนในพอร์ตลงทุน เราจะได้เริ่มต้นลงทุนแบบ DCA ไปก่อน ถ้าสุดท้ายแล้ว หุ้นไม่ปรับฐานใหญ่เลย 10 ปี อย่างน้อยเราก็ยังได้ลงทุนในพอร์ต DCA ไปแล้ว 10 ปี ทำให้เงินของเราได้ทำงานในระดับหนึ่ง และที่สำคัญ การที่เราได้ลงทุนอะไรบ้าง ระหว่างที่รอ ช่วยทำให้เราไม่รู้สึกรน เวลาที่หุ้นไม่ลงมาให้ซื้อลงทุนได้สักที เราจะได้รอได้อย่างสุขุม
ที่อธิบายมาทั้งหมดสามตอน คือไอเดียคร่าวๆ ที่ผมคิด เกี่ยวกับพอร์ตการลงทุนระยะยาว ว่าจริงๆ แล้วคนเราควรลงทุนอย่างไร (ขออภัยที่เขียนอธิบายไปแบบไม่ค่อยสละสลวยเท่าไหร่) ในตอนหน้าน่าจะสรุปบทเรียนทั้งหมดให้เป็นวิธีการลงทุนระยะยาวในสไตล์ของผมได้แล้ว กลับมาต่อกันในตอนหน้าครับ
หายไปนานเลยครับพี่โจ๊ก ติดตามพี่ตลอดครับ ทั้งหนังสือ เว็บนี้ … มีคำถามรบกวนถามพี่ครับ พี่โจ๊กคิดว่าปี 2020 นี่จะมีวิกฤติเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นมั้ยครับ? หรือแค่ตลาดปรับฐานธรรมดา? / พี่กลัยมาเขียนแล้ว ก็กลับมาตามอ่านเหมือนเดิมครับ โชคดีที่เปิดเว็บเข้ามา ไม่ได้เข้ามานานมากกก ^^
ผมชอบแนวคิดที่ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในวิกฤตอยู่แล้ว แต่เป็นวิกฤตแบบต้มกบครับ เรื่องหนึ่งที่ผมเป็นห่วงมากเลยคือ NPL ซึ่งถ้าไม่มีนโยบายที่แรงพอที่จะแก้ไข มันจะดึงเศรษฐกิจลงไปเรื่อยๆ
พี่โจ๊กคิดว่าไวรัสโคโรน่า จะกระทบกับผลประกอบการ บ.ในตลท. ระดับไหนครับพี่?
ช่วงนี้มีคนถามมาเยอะ ผมตอบตรงนี้เลยล่ะกัน
ก่อนหน้านี้ผมมองวิกฤตครั้งนี้เป็นแค่วิกฤตต้มกบ เช่น อาจเป็น side way down ไหลลงช้าๆ นานหลายปี ไม่ได้คิดว่าจะมีโรคระบาดที่รุนแรงขนาดนี้เข้ามาซ้ำเติม เป็นปัจจัยที่ไม่ได้คาดไว้จริงๆ
ดังนั้นไวรัสจึงมาทำให้แทนที่จะใช้เวลาไหลลงสัก 5 ปีกว่าจะถึงจุดต่ำสุด ก็ไหลรวดเดียวเลย
สุดท้ายแล้วไวรัสคงไม่อยู่กับเราตลอดไป แต่ที่เป็นห่วงที่สุดคือหนี้เสียในระบบที่มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงเศรษฐกิจไทยไม่ให้ฟื้นตัวได้ง่ายๆ
ถ้าจะมีหุ้นจากตรงนี้ไปควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากหนี้เสีย บริษัทที่มีหนี้สูง อย่าเห็นแก่ราคาหุ้นที่ต่ำ สุดท้ายคุณอาจจะโดน dilute จนไม่เหลืออะไรก็ได้
ส่วนถ้าใครคิดว่าจะมาขายหุ้นตอนนี้ ผมกลับคิดว่าราคาแถวๆ นี้ ซื้อแล้วอาจจะลงต่อก็จริงแต่เป็นราคาที่ต่ำพอที่จะซื้อเก็บลงทุนระยะยาวได้ เป็นราคาน่าซื้อมากกว่าน่าขาย