สยามเวลเนสกรุ๊ป (SPA) ให้บริการสปาและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ มีสาขากระจายอยู่ตามทำเลนักท่องเที่ยว หรือย่านใจกลางเมืองกทม. ภายใต้แบรนด์ Let’s Relax และ Rarinjinda
บริษัทมุ่งทำตลาดลูกค้าในกลุ่ม B+ จนถึง A+ เท่านั้น ซึ่งต้องชนกับสปาที่อยู่ตามโรงแรมห้าดาว เช่น เครือ Six Senses หรือไม่ก็เป็นสปาที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ชีวาศรม เป็นต้น ฉะนั้น ทำเลจึงเป็นจุดขายสำคัญของบริษัท หาไม่แล้วบริษัทก็จะคงขาดจุดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ดังนั้นผมมองว่าแม้ว่าจะต้องเสียค่าเช่าสูงในทำเลเกรดพรีเมี่ยม ก็เป็นเรื่องจำเป็น เช่น Terminal 21, Siam Square One เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วบริษัทจะทำสัญญาเช่าระยะสามปี บวก Option ในการต่อสัญญาได้
จากการลองไปสำรวจสาขาของบริษัทมา พบว่า ลูกค้าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวล้วนๆ หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นลูกค้าไทยระดับเกรด A+ เพราะราคาค่าใช้บริการจะสูงกว่าที่อื่น ลูกค้าไทยทั่วๆ ไปไม่นามองเห็นเหตุผลที่จะต้องมาใช้บริการที่นี่ แต่ก็ดูเหมือนว่าบริษัทน่าจะมีช่องทางการตลาดเฉพาะเจาะจงบางอย่างที่สามารถชักจูงนักท่องเที่ยวให้เจาะจงมาใช้บริการได้ เห็นจากลูกค้าต่างชาติที่ค่อนข้างหนาตาอยู่เหมือนกัน การขยายธุรกิจลงมาที่ระดับต่ำกว่า B+ จึงไม่น่าจะทำได้ และไม่ควรทำด้วย เพราะจะทำให้เสียแบรนด์ที่พยายามสร้างมา ดังนั้นโอกาสในการขยายตัวน่าจะเป็นการเติบโตไปตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยของเป็นสำคัญ
โดยส่วนตัว ผมมองว่าธุรกิจสปาเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะสามารถเติบโตไปเรื่อยๆ ตามเทรนด์สุขภาพได้ และไม่เชื่อว่าจะเป็นแค่ Fad แต่น่าจะอยู่คู่กับคนสมัยใหม่ไปอีกนานเลย ยิ่งถ้าเจาะลูกค้านักท่องเที่ยวด้วยยิ่งน่าสนใจ เพราะประเทศไทยในช่วงต่อไป การท่องเที่ยวน่าจะยังดูดีที่สุดเมื่อเทียบกับภาคส่วนอื่นๆ (หุ้นท่องเที่ยวไม่น่าจำกัดอยู่แค่ โรงแรม หรือว่าสนามบินเท่านั้น) ธุรกิจนี้ยังเป็นธุรกิจที่ labor-intensive และเป็น service sector ทำให้แม้ว่าจะมีการแข่งขันสูง แต่ก็จะไม่รุนแรงมาก เพราะการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วทำไม่ได้ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบ
ส่วนที่จะดูอ่อนสำหรับบริษัทก็คือ ความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่งยังดูไม่เด่นชัดนัก ดังนั้น บริษัทน่าจะเติบโตไปตามการเติบโตของตลาดเป็นหลัก ถ้าหากยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทำเลและการประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคือหัวใจสำคัญของการแข่งขันของบริษัท บริษัทลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักด้วย เช่น โรงเรียนสอนนวด ขายเครื่องใช้สำหรับสปา รวมทั้งมีธุรกิจโรงแรมที่มีสปา ด้วย แต่รายได้เหล่านี้ถือว่ายังไม่มีนัยสำคัญต่อรายได้รวมของบริษัท
อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อลองมาดูงบการเงินก็ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะงบการเงินค่อนข้างดีมาก ธุรกิจมีทั้งมาร์จิ้นและ ROE ในระดับสูง (20%) และเมื่อพิจารณาจาก Cash Flow ก็สอดคล้องกับกำไรด้วย บริษัทใช้สินทรัพย์ไม่สูงมากนัก เพราะเช่าทำเลเอา จึงมีเฉพาะการตกแต่งร้านเท่านั้นที่เป็นสินทรัพย์ กอปรกับเป็นธุรกิจเงินสดด้วย สถานะเงินสดก็แข็งแรง คำอธิบายอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะปี 2558 เป็นปีที่การท่องเที่ยวบูมมาก ภาพที่เห็นจึงอาจเป็น top form ของบริษัท ถ้าหากปีต่อๆ ไป การท่องเที่ยวไม่ได้บูมมากเท่ากับปี 2558 ก็อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการได้มาก จึงเป็นจุดเสี่ยงจุดหนึ่ง
กลยุทธ์การเติบโตน่าจะเป็นการเปิดสาขาเพิ่มไปเรื่อยๆ ได้ ซึ่งธุรกิจก็มีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างดี ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มทุนมีน้อย ถ้าหากการท่องเที่ยวของไทยดีขึ้นต่อเนื่องทุกปีในอีกสามปีข้างหน้า ผลประกอบการของบริษัทก็น่าจะโตตามไปได้โดยไม่ยาก
ตอนนี้ทาง SPA มีการขยายลงไปในกลุ่ม สปาสามดาว โดยไปซื้อ แบรนด์บ้านสวนมาสสาจมา คุณสุมาอี้ คิดว่ายังไงครับ
ก็เป็นไอเดียที่ดีที่ใช้วิธีซื้อแบรนด์อีกแบรนด์ ตลาดล่างน่าจะใหญ่ด้วย
ข้อเสียสำคัญผมว่าเป็นเรื่องราคาหุ้นที่แพงมากๆ แล้วอีกอย่างคือตอนช่วงกีฬาสี กำไรก็ร่วงลงมากเช่นกันครับ ผมว่าอนาคตดูดีแต่ความเสี่ยงก็สูงทีเดียวครับ
ดีจัง ขอบคุณมาก ที่เขียนแนะนำให้อ่าน อายุมากแล้วใช้ com ไม่ค่อยคล่อง แต่จะฝึกทุกวันละค่ะ จะติดตามหุ้นตัวนี้ค่ะ เพราะใกล้ตัวดี เคยไปทดลองใช้บริการละ 1 ครั้ง ซื้อพวกน้ำมันหอมระเหย ธูปเทียนมาลองใช้ด้วยค่ะ (คิดว่าแพงไปนิด) บริการของพนักงานยังไม่เนี้ยบเท่าไร แค่สถานที่ดีมาก ราคานวดคนไทยคงไม่นิยม (คงได้นักท่องเทียวต่างชาติจริง)
ช่วยแนะนำวิธี “ประเมินมุลค่าหุ้น” แบบง่าย ๆ คิดเร็ว ๆ ให้หน่อยได้ไหมค่ะ
PEG ratio ครับ PE/Growth rate