ถือหุ้นน้อยตัวเกินไปก็เสี่ยง ถือหุ้นมากตัวเกินไปก็ตามข้อมูลได้ไม่ลึก รวมทั้งยังเป็นเบี้ยหัวแตก ไม่คุ้มค่าและเวลาที่ใช้ศึกษาข้อมูลรายตัว สุดท้ายแล้วก็ต้องตรงกลางว่าจะมีหุ้นกี่ตัวถึงจะเหมาะ
เวลาจะซื้อหุ้นสักตัว ต้องทำใจว่าเราอาจจะขาดทุนได้มากถึง 50% เพราะหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่เสี่ยงมาก ดังนั้นถ้าเรามีหุ้นห้าตัวในพอร์ต (ตัวละ 20%ของพอร์ต) แล้วเราเจ๊งกับหุ้นตัวหนึ่งไป 50% เท่ากับว่าพอร์ตของเราจะขาดทุนจากหุ้นตัวเดียวไป 10%
แต่ถ้าพอร์ตเรามีหุ้นสิบตัว (ตัวละ 10% ของพอร์ต) แล้วเราเจ๊งกับหุ้นหนึ่งตัวไป 50% เท่ากับว่าพอร์ตเราจะลดลงจากหุ้นตัวนั้นเท่ากับ 5%
ทุกคนก็ต้องชั่งใจเอาเองว่า เราสามารถเสียหายไปกับหุ้นหนึ่งตัวได้มากที่สุดแค่ไหน ถ้าคิดว่าไม่เกิน 5% ของพอร์ต ก็ควรมีหุ้น 10 ตัว แต่ถ้า 10% ก็ควรมีหุ้น 5 ตัว ต้องถามใจตัวเองดู
สำหรับพอร์ตระยะยาวซื้อสะสม ยังมีอีกประเด็นที่ต้องคิด คือ หุ้นที่ถือยาวได้มักมีอยู่น้อยในตลาดหุ้น ข้อจำกัดตรงนี้มักทำให้พอร์ตระยะยาวไม่ควรมีหุ้นหลายตัวเกินไปโดยปริยาย ถ้าคุณคิดว่าจะซื้อแต่หุ้นพื้นฐานดีมาก แต่คุณถือไว้ตั้ง 20 ตัว ก็น่าสงสัยว่า เกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นของคุณอ่อนไปรึเปล่า ยิ่งถือยาวเท่าไร การโฟกัสก็ควรจะมีมากเท่านั้น
โดยส่วนตัวมองว่ามีหุ้น 5-10 ตัว ในพอร์ตน่าจะกำลังดี นั่นก็หมายความว่า ทุกครั้งที่เจอหุ้นที่อยากลงทุน ก็ควรซื้อด้วยเงินประมาณ 10-20% ของเงินทั้งหมดที่จะใช้ลงทุนในหุ้น
ปัญหาที่มักจะตามมาก็คือว่า ถือหุ้นไปนานๆ หุ้นบ้างตัวขึ้น บางตัวลง บางตัวอาจจะกลายเป็น 25% ของพอร์ต เป็นต้น แบบนี้เราต้องปรับพอร์ตใหม่ให้เหลือไม่เกินตัวละ 20% รึเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้มีคำตอบที่แน่ชัด แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ต้องปรับ ให้มองความเสี่ยงจากเงินต้นเริ่มแรกของเราเป็นหลัก ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่า ถ้าเราต้องคอยปรับอยู่เรื่อยๆ ผมมองว่า จะทำให้การบริหารพอร์ตระยะยาวของเราซับซ้อนเกินไป การพยายามทำให้การลงทุนเรียบง่ายเข้าไว้เป็นเรื่องที่ดีกว่า
หมายเหตุ ตั้งแต่โพสต์นี้เป็นต้นไป จะยกเลิก rss feed และ email noti แจ้งเตือนบทความใหม่ๆ นะครับ ไม่อยากรบกวนอินบ็อกซ์ของทุกคน เพราะบางคนอาจสมัครไว้นานแล้ว ตอนนี้อาจจะไม่อยากรับแจ้งเตือนแล้วก็ได้