อุปสรรคใหญ่ของการลงทุนคือความลำเอียงของเราเอง

ไม่ได้เขียนอะไรลงบล็อกนี้นานมาก นานขนาดที่รู้สึกว่า เดี๋ยวนี้ความคิดหรือมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนของเราเปลี่ยนไปจากเดิมมาก มากจนกลับมาอ่านบล็อกนี้แล้วไม่รู้สึกว่าเราเคยเขียนบล็อกนี้มาก่อน

อีกอย่างหนึ่งคือช่วงหลังๆ เราเริ่มเห็นความ bias ของการเป็นนักลงทุน เป็นความลำเอียงที่สมัยก่อนนี้เรามองไม่เห็น เพราะเราเข้าใจว่านั่นคือความมั่นคง การยึดมั่นในหลักการ ฯลฯ  นักลงทุนแต่ละคนจะมีความเชื่อบางอย่างที่ตัวเองสมาทานอยู่ เหมือนเป็นลัทธิประจำตัว ทีนี้เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในตลาด ทุกคนก็จะตีความเหตุการณ์เหล่านั้นให้สอดคล้องกับความเชื่อของลัทธิตัวเองเสมอ แล้วก็บอกตัวเองว่า เห็นมั้ยหลักการ XYZ ใช้ได้เสมอ บลา บลา บลา นักลงทุนสองคนที่ประสบเหตุการณ์เดียวกันก็สามารถอธิบายทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิงได้ เพราะต่างคนก็ต่างเลือกที่จะอธิบายให้สอดคล้องกับศาสนาของตัวเอง

เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย เพราะเราไม่ได้ค้นหาความจริง เราแค่อยากพิทักษ์ความเชื่อของเราไปเรื่อยๆ (ด้วยความภาคภูมิใจ) และที่สำคัญ เราไม่รู้ตัวด้วยว่าเรากำลังทำตัวแบบนั้นอยู่

ตลาดหุ้นมีลักษณะอย่างหนึ่งที่เรียกว่า non-stationery หมายความว่า ทุกยุคสมัย ปัจจัยที่เข้ามามีผลต่อราคาหุ้นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางยุคดอกเบี้ยเคยเป็นปัจจัยหลัก บางยุคดอกเบี้ยแทบไม่มีผล บางยุคเงินเฟ้อสูงผิดปกติ บางยุคเงินฝืด นักลงทุนที่เป็นหน่วยย่อยๆ ที่เข้ามาตัดสินใจซึ่งส่งผลต่อราคาก็เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไปเรื่อยๆ บางคนออกจากตลาดไป บางคนเป็นหน้าใหม่เข้ามา นักลงทุนแต่ละ generation ก็มีนิสัยประจำยุคที่ไม่เหมือนกันอีก ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าหลักการอะไรก็ตามที่เคยใช้ได้ดีในตลาดหุ้น ถ้าปล่อยให้เวลาทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ที่สุดแล้ว หลักการเหล่านั้นก็จะใช้ไม่ได้อีก เพราะปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไม่เคยเหมือนเดิม พฤติกรรมของตลาดจึงไม่เหมือนเดิม ดังนั้นทุกกลยุทธ์ ทุกหลักการ ทุกสูตรสำเร็จ จะใช้การได้แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น บางอย่างใช้ได้แค่สามเดือน บางอย่างใช้ได้เป็นสิบปี บางอย่างก็หลายสิบปี แต่ที่สุดแล้ว ไม่มีหลักการไหนที่จะใช้งานได้ดีตลอดไป เพราะตลาดหุ้นมันเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของมันไปเรื่อยๆ

มีแค่ในความคิดของนักลงทุนต่างหากที่อยากให้มีความคิดหรือหลักการอะไรบางอย่างที่ใช้ได้ตลอดไป และเราก็เผลอเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในความคิดนั้นโดยไม่รู้ตัว บางคนใช้มันเป็นศาสนา เป็นสิ่งที่แทนความเป็นตัวเรา เราก็ย่อมอยากเห็นความเชื่อนั้นเป็นอมตะ เหมือนศาสนาต่างๆ ที่ล้วนเคลมว่า คำสอนของศาสนาเป็นอมตะ ไม่มีวันล้าสมัย แต่นั่นเป็นเพราะใจเราเองต่างหากที่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น ไม่มีอะไรหรอกที่ไม่ล้าสมัย เพราะสิ่งที่อยู่คู่กับโลกคือความเปลี่ยนแปลง

ความยึดมั่นถือมั่นเหล่านั้นนำมาซึ่งความผิดหวัง พอมีคนประสบความสำเร็จกับหลักการหนึ่งเข้าหน่อย ก็มีคนทำตามมากๆ สักพักหนึ่งหลักการนั้นก็ใช้ไม่ได้ ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่มีพลวัตร การแข่งขันทำให้กำไรที่สูงผิดปกติค่อยๆ หายไปเสมอ และทำให้เราต้องผิดหวังอยู่ร่ำไป แต่ที่น่ากลัวว่านั้นคือ ต่อให้มันไม่ได้ผลแล้ว เราก็ยังหลอกตัวเอง หรือหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเองว่ามันได้ผลต่อไป ก็เพราะว่าเรายึดถือมันเป็นเหมือนศาสนาของเราไปแล้ว เมฆหมอกจึงบังตาเราอยู่

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *