ว่างเว้นจากการเขียนบล็อกที่นี่ไปนาน เนื่องจากปัญหาสายตา ทำให้นั่ง edit อะไรยาวๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ได้ พักหลังเหมือนอาการจะดีขึ้นบ้าง หลังจากที่ลดการใช้สายตาไปนาน คิดว่าต่อไปนี้จะพยายามกลับมาเขียนบล็อกที่นี่เกี่ยวกับมุมมองของพอร์ตทดลอง 7LTG บ้างแบบนานๆ ทีก็แล้วกันนะครับ The show must go on.
จำได้ว่าช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด ความหมกมุ่นของผมวนเวียนอยู่กับเรื่อง digital transformation เรียกว่ามันได้กลายมาเป็นธีมใหญ่ในการลงทุนของผม ตั้งใจว่าต่อไปนี้เราจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มองว่ามีความเสี่ยงที่จะโดนดิสรัปแรงๆ ได้ในอนาคต ซึ่งพอรีวิวดูก็พบว่า หุ้นไทยจำนวนมากเข้าข่ายนี้ และความคิดอีกอย่างก็คือ ผมไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในธุรกิจการผลิตเท่าไหร่ คิดว่าธุรกิจกลุ่มนี้น่าจะยังมีอยู่ในอนาคต แต่ว่าการแข่งขันสูง ล้นตลาดเรื้อรัง กำไรน้อย หันมาเน้นพวกธุรกิจบริการหรือธุรกิจที่ใช้พวก human capital เป็นหลักน่าจะดูมีอนาคตมากกว่า
นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดการปรับพอร์ต 7LTG ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก กลายเป็นกลุ่มที่ถูกลดน้ำหนักลง เพราะมองว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกดิสรัปในอนาคตได้ และคิดว่าอนาคตของประเทศไทยน่าจะพึ่งพากลุ่มท่องเที่ยวและการแพทย์ต่อไป ส่วน ธีม EEC นั่นไม่ได้สนใจเลย เพราะไม่ชอบธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตอย่างที่บอกไป
ปรากฎว่าเหตุการณ์ที่ใหญ่มากของปี 2020 กลายเป็นโรคระบาดระดับโลก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นแค่ 1 ครั้งในรอบ 100 ปี เป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงมาก ธีมระยะยาวที่วางเอาไว้แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรในเหตุการณ์นี้เลย ในบางแง่มุมมันกลายเป็นผลลบต่อพอร์ตด้วยซ้ำ การท่องเที่ยวคือกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระทบแบบเต็มๆ ในขณะที่การผลิตอาจจะดีกว่ากลุ่มอื่นด้วยซ้ำ เพราะล็อกดาวน์นอกบ้าน แต่โรงงานก็ยังผลิตได้ การปรับพอร์ตเพื่อป้องกันการโดนดิสรัปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับการรับมือกับโรคระบาด คนติดโควิดเยอะขึ้น ไม่ได้ทำให้คนมาโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามยิ่งน้อยลง เพราะคนไข้ต่างชาติมาไม่ได้ คนในประเทศที่เข้าโรงพยาบาลเพราะโรคทั่วไปก็หลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลในช่วงที่ผ่านมาเพราะกลัวจะติดโควิด หุ้นรถไฟฟ้าไม่โดนดิสรัปแต่กลับโรคระบาดก็คือโดนเต็มๆ อีกเช่นกัน เพราะคนออกจากบ้านน้อยลงมาก โรงแรมนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะกระทบแบบเต็มๆ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มองว่ามีอนาคตที่สุดของไทยคืออุตสาหกรรมที่กระทบมากที่สุดในเหตุการณ์นี้ไปเลย เรียกว่าพอร์ต 7LTG ได้รับผลกระทบจากโควิดแบบเต็มๆ น่าจะรุนแรงกว่าปกติเลยด้วยซ้ำ
มาตั้งสติใหม่ ก็คิดว่า การลงทุนระยะยาวก็เป็นแบบนี้แหละ ยังไงเราก็ต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอนาคต แล้วเลือกที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนของเราเพื่อสะท้อนมุมมองนั้น ไอ้แบบที่จะกระจายหุ้นแบบเหวี่ยงแหไปหมด ไม่ bet กับอะไรเลยนั้น ก็ไม่รู้จะลงทุนเองไปทำไม ไปซื้อ index fund ที่กระจายทั้งตลาดเอาก็ได้ การลงทุนมันต้องมีการ bet กับอะไรบ้างอย่าง ถ้าไม่ยอม bet กับอะไรเลย ก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน ส่วนจะ bet แบบเต็มตัว หรือว่า bet บ้าง กระจายบ้าง ขึ้นอยู่กับ risk tolerance ของแต่ละบุคคล
ในระหว่างทางที่เราลงทุนระยะยาว เราก็จะเจอกับความผันผวน ซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนของธุรกิจ ในระยะสั้น ความผันผวนบางอย่างอาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกับแผนระยะยาวของเราก็ได้ อย่างโรคระบาดระดับโลกนี่ ขัดแย้งกับแผนระยะยาวของเราแบบเต็มๆ ถ้าเรา bet แบบเต็มตัว ในพอร์ตมีแต่หุ้นท่องเที่ยวอย่างเดียวเลย พอร์ตก็อาจจะระเบิดไปเลย ดีหน่อยที่เราไม่ได้ bet เต็มตัวขนาดนั้น แค่ overweight แต่ก็ต้องรับแรงกระแทกไปในระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน
ถามว่ายังเชื่อในธีมระยะยาวอยู่มั้ย ก็ยังเชื่ออยู่ ปี 2020 ที่ผ่านมาคือปีของ rare event ซึ่งเราไม่เอา rare event มาเป็นสิ่งที่ตัดสินแผนการลงทุนระยะยาวของเรา สิ่งที่ควรทำในสถานการณ์แบบนี้คือการอยู่เฉยๆ และลงทุนแบบเดิมต่อไป เรายังเชื่อว่าในที่สุดพอร์ตนี้จะกลับมาได้เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ยังมีเวลาอีก 3-4 ปีก่อนที่พอร์ตนี้จะมีอายุครบ 15 ปีตามที่ได้ตั้งใจไว้ เชื่อว่ามันเป็นเวลานานพอที่ทุกอย่างจะกลับมาได้ทันในเวลานั้น อันที่จริงเหตุการณ์นี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยทดสอบด้วยซ้ำว่าพอร์ตทดลองของเราแม้เจอเหตุการณ์ที่หนักขนาด 100 ปีมีครั้งเดียว มันจะยังกลับมาได้มั้ย ถ้าตลอด 15 ปีไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เลย ก็เหมือนกับพอร์ตยังไม่ได้ถูกทดสอบอย่างแท้จริง คิดซะว่า ช่วงเวลาแบบนี้คือช่วงเวลาที่พอร์ตจะได้หุ้นในต้นทุนถูกเพิ่มขึ้นด้วย ดีกว่าพอร์ตที่ขึ้นทางเดียวตลอด 15 ปี ไม่มีช่วงเวลาที่ได้เก็บต้นทุนต่ำเลย อยู่เฉยๆ ให้ได้ก็พอ
Stay invest, stay foolish