รับมือกับ Rare event ก็แค่อยู่เฉยๆ

ว่างเว้นจากการเขียนบล็อกที่นี่ไปนาน เนื่องจากปัญหาสายตา ทำให้นั่ง edit อะไรยาวๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ได้ พักหลังเหมือนอาการจะดีขึ้นบ้าง หลังจากที่ลดการใช้สายตาไปนาน คิดว่าต่อไปนี้จะพยายามกลับมาเขียนบล็อกที่นี่เกี่ยวกับมุมมองของพอร์ตทดลอง 7LTG บ้างแบบนานๆ ทีก็แล้วกันนะครับ  The show must go on.

จำได้ว่าช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด ความหมกมุ่นของผมวนเวียนอยู่กับเรื่อง digital transformation เรียกว่ามันได้กลายมาเป็นธีมใหญ่ในการลงทุนของผม ตั้งใจว่าต่อไปนี้เราจะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มองว่ามีความเสี่ยงที่จะโดนดิสรัปแรงๆ ได้ในอนาคต ซึ่งพอรีวิวดูก็พบว่า หุ้นไทยจำนวนมากเข้าข่ายนี้ และความคิดอีกอย่างก็คือ ผมไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นในธุรกิจการผลิตเท่าไหร่ คิดว่าธุรกิจกลุ่มนี้น่าจะยังมีอยู่ในอนาคต แต่ว่าการแข่งขันสูง ล้นตลาดเรื้อรัง กำไรน้อย หันมาเน้นพวกธุรกิจบริการหรือธุรกิจที่ใช้พวก human capital เป็นหลักน่าจะดูมีอนาคตมากกว่า

นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดการปรับพอร์ต 7LTG ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก กลายเป็นกลุ่มที่ถูกลดน้ำหนักลง เพราะมองว่ามีความเสี่ยงที่จะถูกดิสรัปในอนาคตได้ และคิดว่าอนาคตของประเทศไทยน่าจะพึ่งพากลุ่มท่องเที่ยวและการแพทย์ต่อไป ส่วน ธีม EEC นั่นไม่ได้สนใจเลย เพราะไม่ชอบธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตอย่างที่บอกไป

ปรากฎว่าเหตุการณ์ที่ใหญ่มากของปี 2020 กลายเป็นโรคระบาดระดับโลก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นแค่ 1 ครั้งในรอบ 100 ปี เป็นเหตุการณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงมาก ธีมระยะยาวที่วางเอาไว้แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรในเหตุการณ์นี้เลย ในบางแง่มุมมันกลายเป็นผลลบต่อพอร์ตด้วยซ้ำ การท่องเที่ยวคือกลุ่มอุตสาหกรรมที่กระทบแบบเต็มๆ ในขณะที่การผลิตอาจจะดีกว่ากลุ่มอื่นด้วยซ้ำ เพราะล็อกดาวน์นอกบ้าน แต่โรงงานก็ยังผลิตได้ การปรับพอร์ตเพื่อป้องกันการโดนดิสรัปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับการรับมือกับโรคระบาด คนติดโควิดเยอะขึ้น ไม่ได้ทำให้คนมาโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามยิ่งน้อยลง เพราะคนไข้ต่างชาติมาไม่ได้ คนในประเทศที่เข้าโรงพยาบาลเพราะโรคทั่วไปก็หลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลในช่วงที่ผ่านมาเพราะกลัวจะติดโควิด หุ้นรถไฟฟ้าไม่โดนดิสรัปแต่กลับโรคระบาดก็คือโดนเต็มๆ อีกเช่นกัน เพราะคนออกจากบ้านน้อยลงมาก โรงแรมนี่ไม่ต้องพูดถึงเพราะกระทบแบบเต็มๆ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มองว่ามีอนาคตที่สุดของไทยคืออุตสาหกรรมที่กระทบมากที่สุดในเหตุการณ์นี้ไปเลย เรียกว่าพอร์ต 7LTG ได้รับผลกระทบจากโควิดแบบเต็มๆ น่าจะรุนแรงกว่าปกติเลยด้วยซ้ำ

มาตั้งสติใหม่ ก็คิดว่า การลงทุนระยะยาวก็เป็นแบบนี้แหละ ยังไงเราก็ต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างเกี่ยวกับอนาคต แล้วเลือกที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนของเราเพื่อสะท้อนมุมมองนั้น ไอ้แบบที่จะกระจายหุ้นแบบเหวี่ยงแหไปหมด ไม่ bet กับอะไรเลยนั้น ก็ไม่รู้จะลงทุนเองไปทำไม ไปซื้อ index fund ที่กระจายทั้งตลาดเอาก็ได้ การลงทุนมันต้องมีการ bet กับอะไรบ้างอย่าง ถ้าไม่ยอม bet กับอะไรเลย ก็จะไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน ส่วนจะ bet แบบเต็มตัว หรือว่า bet บ้าง กระจายบ้าง ขึ้นอยู่กับ risk tolerance ของแต่ละบุคคล

ในระหว่างทางที่เราลงทุนระยะยาว เราก็จะเจอกับความผันผวน ซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนของธุรกิจ ในระยะสั้น ความผันผวนบางอย่างอาจสอดคล้องหรือขัดแย้งกับแผนระยะยาวของเราก็ได้ อย่างโรคระบาดระดับโลกนี่ ขัดแย้งกับแผนระยะยาวของเราแบบเต็มๆ ถ้าเรา bet แบบเต็มตัว ในพอร์ตมีแต่หุ้นท่องเที่ยวอย่างเดียวเลย พอร์ตก็อาจจะระเบิดไปเลย ดีหน่อยที่เราไม่ได้ bet เต็มตัวขนาดนั้น แค่ overweight แต่ก็ต้องรับแรงกระแทกไปในระดับหนึ่งเลยเหมือนกัน

ถามว่ายังเชื่อในธีมระยะยาวอยู่มั้ย ก็ยังเชื่ออยู่ ปี 2020 ที่ผ่านมาคือปีของ rare event ซึ่งเราไม่เอา rare event มาเป็นสิ่งที่ตัดสินแผนการลงทุนระยะยาวของเรา สิ่งที่ควรทำในสถานการณ์แบบนี้คือการอยู่เฉยๆ และลงทุนแบบเดิมต่อไป เรายังเชื่อว่าในที่สุดพอร์ตนี้จะกลับมาได้เหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ยังมีเวลาอีก 3-4 ปีก่อนที่พอร์ตนี้จะมีอายุครบ 15 ปีตามที่ได้ตั้งใจไว้ เชื่อว่ามันเป็นเวลานานพอที่ทุกอย่างจะกลับมาได้ทันในเวลานั้น อันที่จริงเหตุการณ์นี้จะเป็นสิ่งที่ช่วยทดสอบด้วยซ้ำว่าพอร์ตทดลองของเราแม้เจอเหตุการณ์ที่หนักขนาด 100 ปีมีครั้งเดียว มันจะยังกลับมาได้มั้ย ถ้าตลอด 15 ปีไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เลย ก็เหมือนกับพอร์ตยังไม่ได้ถูกทดสอบอย่างแท้จริง คิดซะว่า ช่วงเวลาแบบนี้คือช่วงเวลาที่พอร์ตจะได้หุ้นในต้นทุนถูกเพิ่มขึ้นด้วย ดีกว่าพอร์ตที่ขึ้นทางเดียวตลอด 15 ปี ไม่มีช่วงเวลาที่ได้เก็บต้นทุนต่ำเลย อยู่เฉยๆ ให้ได้ก็พอ

Stay invest, stay foolish

แล้วมันก็จะผ่านไป ยังเป็นมนตราที่ใช้การได้อยู่

 ช่วงโควิดที่ผ่านมายอมรับว่ามีความหวั่นไหวกับพอร์ต 7LTG อยู่เหมือนกัน

คือก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากกับพอร์ตนี้อยู่แล้ว เพราะช่วงหลังภาพของประเทศไทยมันดูแย่ลงมากเทียบกับวันที่เริ่มสร้างพอร์ตนี้ขึ้นมา แต่เราก็ยังคิดว่ามันน่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินได้อยู่

แต่พอช่วงโควิด อาการสาละวันเตี้ยลงทุกวันของ SET Index มันยิ่งส่งผลต่อความมั่นใจมากขึ้นไปอีก ยอมรับว่า มีบางโมเมนต์ที่ความคิดทำนองว่า หรือจะล้างพอร์ตนี้ทิ้งไปเลยดีมั้ย เคยผุดขึ้นมาด้วย แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ทำ (อาจจะเพราะช่วงนั้นขี้เกียจรึเปล่าก็ไม่รู้)

แต่ในที่สุด อยู่ดีๆ ในเวลาแค่สองเดือนที่ผ่านมาอยู่ๆ ข่าวดีก็แห่เข้ามา วัคซีนมา ทรัมป์ไป หุ้นขึ้นพรวดๆๆๆ เผลอแปล็บเดียว กลับมาสูงเกือบก่อนโควิดได้เลย (SET ลงไปเหลือแค่ 9XX จุด เมื่อต้นปี ตอนนี้กลับมา 1,482 แล้ว)

บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากเหตุการณ์นี้ ประการแรกคือ ราคาหุ้นขึ้นและลง มันส่งผลต่อความคิดของเราเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานได้มากจริงๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะความคิดของเราเกี่ยวกับพื้นฐานหุ้นควรจะมาจากสตอรี่ของธุรกิจ งบการเงิน ฯลฯ ไม่ใช่มาจากการขึ้นลงของราคาหุ้น จริงๆ เรื่องนี้เราก็รู้อยู่แล้ว (จอร์จ โซรอส เรียกว่า Reflexivity Theory) แต่เวลาเจอของจริง ความเป็นปุถุชน ก็ยังทำให้ยากที่เราจะไม่หวั่นไหวกับความลำเอียงนี้อยู่ดี

ประการที่สอง ตอนออกแบบพอร์ต เราตั้งใจสร้างให้มันเป็นพอร์ตที่ทนวิกฤตได้อยู่แล้ว โดยการเลือกแต่หุ้นพื้นฐานดีเข้าพอร์ตเท่านั้น และมีการกระจายความเสี่ยงที่มากพอ ช่วงโควิดก็เป็นเหมือนช่วงเวลาที่พอร์ตนี้ได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง สุดท้ายแล้วมันก็เป็นพอร์ตที่ผ่านวิกฤตได้จริงๆ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือไม่ต้องทำอะไรเลย เคยลงทุนยังไงก็ลงทุนแบบเดิมต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าไปเชื่อว่าตัวเองฉลาด รู้ดีว่าหุ้นจะลงต่อ แล้วขายหนีไป ก็คงกลายเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวง

มนตราที่ว่า แล้วมันก็จะผ่านไป ยังคงใช้การได้อยู่เหมือนเดิม

(ปล.ใช้การได้กับพอร์ตที่ลงทุนแต่หุ้นพื้นฐานดี และมีการกระจายที่มากพอเท่านั้นนะ ไม่ได้ใช้การได้กับทุกสไตล์การลงทุน)

ปรับพอร์ต 7LTG ณ สิ้นปีที่ 11

อย่างที่บอกไปว่า Digital Disruption จะเป็นธีมหลักของการปรับพอร์ตรอบนี้ อยากให้พอร์ตใหม่พร้อมรับมือ Digital Disruption ไปตลอดช่วงเวลาลงทุนที่ยังเหลืออยู่เลย

หุ้นเดิมในพอร์ตที่ผมไม่ชอบที่สุด ถ้ามองจากธีมนี้คือ CPN จากเดิมที่เคยเป็นหุ้นในพอร์ตที่ชอบเป็นอันดับต้นๆ ผมว่าอุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนที่สุดเรื่องออนไลน์ในช่วงที่ผ่านมาเลย ถึงแม้ว่าผมจะมองว่า CPN เป็นบริษัทที่ปรับตัวเก่ง แต่ต่อให้ปรับตัวเก่ง อย่างดีก็แค่เสมอตัว ไม่น่าจะ prosper เหมือนเดิมได้

หุ้นอีกตัวที่จะปรับออกคือ MINT เหตุผลหนึ่งก็คือ MINT เพิ่งเพิ่มทุนไป และผมก็เพิ่มตามไปด้วย คิดเป็นจำนวนเงินก็เท่ากับได้ลงทุน MINT ล่วงหน้าไปแล้วเกือบสองปี จึงน่าจะชะลอการซื้อไปก่อน กอปรกับธุรกิจโรงแรมก็มีความเสี่ยงที่จะโดน Disrupt ในอนาคตได้เช่นกัน ถ้าคนนิยม Airbnb มากขึ้น (แต่เทรนด์นี้ก็ยังไม่ได้ชัดเจนมากในเวลานี้)​ ด้านร้านอาหาร MINT ก็โดน Delivery เล่นงานอยู่ แม้ว่า MINT จะเก่งในแง่รีบเข้าไปโผล่อยู่ใน GrabFood ได้เร็ว แต่การขายผ่าน Grab โดยที่ต้องซื้อพื้นที่ใน App ที่โดดเด่นจะน่าจะต้องแบ่งกำไรให้ Grab ไปไม่น้อยเลย (ก่อนหน้านี้ที่ผมเป็นห่วงอีกอย่างเกี่ยวกับ MINT คือ MINT ค่อนข้างกระโดดเข้าสู่กระแสนิยมอาหารเอเชียช้า แต่ก็โล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็น MINT ซื้อ บอนชอน อย่างน้อยเขาก็พยายามอยู่)

PSH ตัวนี้อาการหนัก วงการนี้ล้นตลาดอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนจะยังเป็นอีกนาน คนจีนที่หายไปจากตลาดคอนโด แบงก์ที่งบอ่อนแอทำให้ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และวงการก่อสร้างเองที่ซัพพลายล้นง่าย น่าจะเหนื่อยอีกนาน แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่จังหวะที่ดีเช่นกันที่จะขายออกมา เลยขอเก็บไว้ก่อน แค่หยุดซื้อเพิ่มเฉยๆ ในแง่ Disruption ก็ไม่ได้โดนตรงๆ ถือต่อไปก็คงไม่เป็นไร

นอกนั้นหุ้นอื่นๆ ในพอร์ตคิดว่าน่าจะรับมือกับ Disruption ได้อยู่

  • BDMS แม้ว่าจะมีเสน่ห์ลดลง เพราะสมัยนี้คนไข้ตะวันออกกลางมาน้อยลง ต้องหันไปหาลูกค้า CLMV แต่ผมก็ยังมองหุ้นตัวนี้เป็นเชิงบวกอยู่
  • ADVANC แม้ว่าจะไม่ใช่ Tech Stock แท้จริงโดยนิยาม แต่ก็น่าจะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีพอสมควร การเติบโตไม่โดดเด่น แต่ธุรกิจไม่ได้ฝืนโลกดิจิตอลแน่ๆ
  • BTS คิดว่าตัวนี้ปลอดภัยจาก Disruption แน่นอน เป็นตัวที่อุ่นใจที่สุด ถ้าไม่ตัวนี้ ก็ BEM แต่คิดว่ามี BTS อยู่แล้ว ก็ไปกับตัวนี้ต่อเลยดีกว่า ไม่อยากปรับพอร์ตให้ซับซ้อนเกินไป
  • BJC ทุกวันนี้กำไร 70%  ของบริษัทมาจาก BigC ซึ่งผมมองว่าค้าปลีกที่โดน Disruption น้อย น่าจะเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตนี่แหละ ดังนั้นจึงคิดว่าตัวนี้น่าจะอยู่ในพอร์ตต่อไปได้

ส่วนหุ้นที่เพิ่มเข้ามาใหม่ได้แก่ AOT ซึ่งก็แน่นอนเป็นธุรกิจที่ผูกขาด และเป็นธีมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นธีมที่ผมสนใจมาตลอดสำหรับประเทศไทย และถ้าหากพอร์ตของเราจะ overweight การท่องเที่ยว (ซึ่งกลายเป็นทุกข์ลาภในช่วงที่ผ่านมาเพราะเจอ Covid) ผมว่าน่าจะซื้อหุ้นสนามบินมากกว่าโรงแรม เพราะทั้งผูกขาดและไม่โดน Disrupt ราคาหุ้นก็ลงมาพอดี ซึ่งก็อาจจะพักฐานอีกนาน แต่นั่นก็ยิ่งเป็นข้อดี เพราะเราซื้อสะสมช้าๆ แบบ DCA ยิ่งมีเวลาให้สะสมนานๆ ยิ่งดี ซื้อแล้วเด้งเร็วกลับเป็นเรื่องไม่ดี

นอกเหนือจาก AOT แล้ว มีหุ้นอีกหลายตัวก่อนหน้านี้ที่ผมคิดว่าจะเอาเข้ามาในพอร์ตดีมั้ยแต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจว่ายังก่อนดีกว่า อาทิเช่น

  • หุ้นโรงไฟฟ้า เพราะเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นเทรนด์อนาคต แต่พอมาดูลึกๆ อีกทีก็ไม่ค่อยแน่ใจ หลายบริษัทขายไฟฟ้าให้เอกชน รายได้ไม่ได้ชัวร์ขนาดนั้น และต้องพึ่งพาความสำเร็จของ EEC ด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร และบางทีถ้าราคาน้ำมันตกต่ำ ก็ใช่ว่าโรงไฟฟ้าจะดีเสมอไป สูตรขายไฟฟ้ามัน link กับราคาน้ำมันด้วยส่วนหนึ่งรึเปล่า โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายตัวที่ขายไฟฟ้าให้รัฐก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินในพอร์ตเยอะ ไปๆ มาๆ เลยไม่มีตัวไหนที่เข้าตาเลยสักตัว ทำให้ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
  • ETF ต่างประเทศ น่าจะเป็นการ Diversify ที่ดีถ้าจะมีไว้ในพอร์ต จะได้ไม่กระจุกอยู่ที่ประเทศไทยอย่างเดียว แต่ปัญหาใหญ่ของกองทุนรวมต่างประเทศบ้านเราคือ เป็น Feeder fund ที่มีค่าบริหารจัดการรวมหมดแล้ว แพงมากๆ ทำให้ยังคงไม่น่าลงทุนอยู่เช่นเดิม
  • หุ้นคอมโมฯ เป็นการ Diversify ที่น่าสนใจ เพราะขึ้นกับราคาตลาดโลก ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย แต่หลายตัวก็อิงกับน้ำมัน ซึ่งระยะยาวไม่น่าสนใจ และบทเรียนหนึ่งของพอร์ตนี้ที่ได้รับในอดีตคือ หุ้นวัฎจักรไม่เหมาะกับการลงทุนแบบ DCA เพราะเวลาที่ตกหนักๆ เราแทบไม่ได้อะไรเลย เพราะมันจะตกไม่นานพอที่เราจะเก็บสะสมได้เยอะ หุ้นที่เหมาะกับ DCA ควรเป็นธุรกิจน้ำซึมบ่อทราย ค่อยๆ โตวันละน้อย แต่กำไรไม่เหวี่ยงแรงๆ ก็เลยเลิกความคิดนี้ไปเช่นกัน

สรุปในวันที่ 25 กันยายน 2563 จะมีการปรับรายชื่อหุ้นที่จะซื้อใหม่ให้เหลือแค่ 5 ตัว คือ BJC, BDMS, BTS, AOT และ ADVANC และเพื่อให้จำนวนเงินลงทุนรวมเท่าเดิม จะมีการเกลี่ยเม็ดเงินตามตารางข้างล่างนี้

โดยที่จะปรับเฉพาะรายชื่อหุ้นที่จะซื้อใหม่ต่อไปนี้เท่านั้น ส่วนหุ้นตัวเก่าที่โดนปรับออกจะไม่ขายขายเก่าออกแต่เก็บไว้ก่อน เพื่อลดความซับซ้อนในการบริหารพอร์ต และคิดว่าหุ้นเหล่านั้นไม่ได้เลวร้ายมากขนาดนี้ต้องรีบขายทิ้งด่วน

ไว้วันที่ 25 กันยายน จะมาสรุปสถานะพอร์ตปัจจุบันให้อีกทีครับ

 

 

การลงทุนภายใต้ภาวะแวดล้อมที่ไม่เอื้อ

ย้อนอดีตที่ผ่านมา ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่าง

ตลาดหุ้นไทยนี่กับระเบิดเยอะจริงๆ ขนาดพอร์ตนี้เลือกที่จะไม่ลงทุนในหุ้นตัวใหญ่มากๆ อย่างหุ้นพลังงาน หรือหุ้นธนาคารเลย ซึ่งก็ช่วยทำให้พอร์ตนี้สามารถหลบราคาน้ำมันตกต่ำ และปัญหาหนี้เสียในภาคธนาคารไปได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะรอด สุดท้ายการท่องเที่ยวก็มาโดนโควิดอยู่ดี คือเรียกว่าไม่รู้ว่าจะหลบไปไหนแล้ว กับระเบิดมันเยอะจริงๆ

เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมมองว่า หุ้นไทยไม่น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับห้าปีแรกสุดของการลงทุน  เพราะห้าปีแรก ตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระยะยาวของการลงทุนในหุ้นไปมาก ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แนวคิดเรื่อง Regress to the means เป็นแนวคิดที่ใช้ได้

ถ้าให้มองต่อไปอีกห้าปี ซึ่งก็คือโค้งสุดท้ายของพอร์ตนี้ ผมก็มองว่าหุ้นไทยไม่น่าจะดีอีกเช่นเดียวกัน คิดว่าน่าจะแย่พอๆ กับห้าปีที่ผ่านมา หรืออาจจะแย่กว่านิดหน่อย ผมมองว่า ประเทศไทยขาดเสน่ห์ในความน่าลงทุนในโลกยุคปัจจุบัน บริษัทในตลาดเต็มไปด้วยบริษัทที่แก่ตัว แบบรอว่าจะโดน disrupt เมื่อไหร่ มากกว่าที่จะมีโอกาสได้ไป disrupt คนอื่น ลองสมมติว่าตัวเองเป็นคนต่างชาติแล้วมองหุ้นทั้งโลก ผมคิดว่าผมน่าจะไม่ได้เลือกลงทุนที่ไทยเลย เพราะไทยดูเป็นประเทศ middle income trap ไม่น่าลงทุน

ปัญหาอีกอย่างของไทยคือ โลกดิจิตอลมันเข้าทางบริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งมันเป็นบริษัทระดับโลก ทำให้เศรษฐกิจของเรามีแนวโน้มจะโดนยึดครองโดยบริษัทต่างชาติ ซึ่งก็พบว่าหลายอุตสาหกรรมตอนนี้ โดนบริษัทต่างชาติยึดไปหมดแล้ว ทั้งเฟซบุ้ก กูเกิล เน็ตฟลิตซ์ ลาซาด้า และ GRAB ไม่มีบริษัทไหนเป็นของไทยเลย ที่น่าหงุดหงิดยิ่งกว่าคือ เราเหมือนจะยังไม่รู้ตัวว่าโดนยึดครอง หรือว่ารู้ตัวแต่ปราศจากแรงจูงใจทางการเมืองที่จะทำอะไร แถมยังไปเชิญเขามาอีก แถมเงิน (tax incentive) ให้อีกต่างหาก อย่างในกรณีที่เราไปเชิญอาลีบาบามาถล่ม SME บ้านเรา ภูมิใจกันใหญ่ที่เขาซื้อทุเรียนเราไป 80 ล้านบาท (แต่มาตั้ง logistic warehouse เอาสินค้าจีนมาถล่มเรามูลค่านับหมื่นล้าน) เพราะว่าเรามี mindset แบบเดิมว่า ถ้าต่างชาติมาลงทุนซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ต้องเป็นเรื่องดี ในขณะที่โลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนเกมไปเป็นดิจิตอลหมดแล้ว

อีกอย่างที่น่าห่วงมากคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศ ซึ่งเยอะและไม่ลดลงเสียที ปัญหานี้ทำให้กำลังซื้อในประเทศมีปัญหา คนที่มีหนี้ล้นอยู่จะไม่ใช้จ่าย ฉุดเศรษฐกิจ ทำให้ธุรกิจที่ไม่ได้มีปัญหากลายเป็นมีปัญหาตามไปด้วย คนเป็น NPL ก็จะเพิ่มขึ้นอีก แบงก์ก็จะยิ่งไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลงไปอีก วนไปเรื่อยๆ เป็นงูกินหาง ซึ่งผมมองว่า ที่ผ่านมา เรา passive กับปัญหานี้มากเกินไป ถ้าห้าปีก่อน รัฐหาวิธีเข้าไปจัดการแก้หนี้เสียในระบบอย่างจริงๆ จังๆ ทุกอย่างน่าจะดีกว่านี้ แต่รัฐก็ไม่ได้ทำ ปล่อยไปตามยัติถากรรม ถ้าจะกลับมาแก้ไขตอนนี้ก็ไม่รู้จะทันมั้ย เพราะธนาคารเองช่วงนี้ก็แบกหนี้เสียจากโควิดอีก ทำให้อาการหนักกว่าเดิม ตราบใดที่ไม่มีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงๆ จังๆ เศรษฐกิจจะไม่มีทางโงหัวขึ้น เพราะเหมือนคนไข้ที่มีเนื้อร้าย (NPL) อยู่ในระบบ แต่ไม่ยอมผ่าตัด จะให้กินอาหารดียังไง (แจกเงิน) ก็ไม่หาย

นอกจากเศรษฐกิจที่ไม่สดใสแล้ว ประเทศไทยยังมีความเปราะบางด้านสังคมและการเมืองสูงมาก ปัญหาเศรษฐกิจที่ยิ่งเร่งให้เกิดความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองมากขึ้นอีก นับเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งของประเทศไทยในเวลานี้ ยังไม่นับปัญหา aging society เรียกว่ามองไปข้างหน้า ปัญหารุมเร้าเยอะมากจริงๆ ยังหาไม่เจอปัจจัยที่ดีเลย

ผมยอมรับว่าผมมองประเทศไทยค่อนข้างแย่ แต่ก็ไม่ต้องตกใจครับ ถ้าใครยังเชื่อมั่นใน EEC อยู่ว่าจะกลับมาพลิกฟื้นประเทศไทย ก็ไม่จำเป็นต้องมองร้ายเหมือนผม จะว่าไป EEC อาจเป็นความหวังเดียวที่ยังเหลืออยู่ของประเทศไทย แต่โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่า EEC จะพลิกเกมได้ เพราะสิ่งที่ EEC ทำเป็นสิ่งที่โลกเคยต้องการเมื่อ 30 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ตอบโจทย์โลกสมัยนี้แล้ว (ความเห็นส่วนตัว อย่าเชื่อมากครับ)

ผมอาจมองเศรษฐกิจไทยค่อนข้างแย่ แต่ตลาดหุ้นไทยผมคิดว่าอาจจะไม่ได้แย่มากเท่า เพราะผมมองว่าปัญหาเงินล้นแบงก์น่าจะยิ่งหนักกว่าเดิม เพราะโอกาสในการลงทุนของคนรวยมีน้อยลง ดอกเบี้ยที่ต่ำอยู่แล้วดูแล้วก็น่าจะต่ำลงไปอีก อาจเห็นดอกเบี้ย 0 หรือ QE ของประเทศไทยในอนาคตก็ได้ ดังนั้นความต้องการของคนไทยที่จะขนเงินมาลงตลาดหุ้นยังมีอีกเยอะมาก ซึ่งจะช่วยหักล้างกับเงินทุนต่างชาติที่หายไปเรื่อยๆ ได้พอสมควร อาจเป็นเหตุผลเดียวด้วยซ้ำที่ผมยังลงทุนในหุ้นไทยอยู่

ปกติแล้ว ตราบใดที่เรายังมองตลาดหุ้นในแง่ดี หมายถึงตลาดที่ต่อให้ผันผวนในระยะสั้นขนาดไหน ก็ยังจะกลับมาสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อีกในอนาคต การลงทุนแบบ DCA จะยังเป็นทางเลือกที่ดีอยู่เสมอ แต่พอเราไม่ได้มองอนาคตดี อันนี้การลงทุนแบบ DCA ก็อาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ ทางเลือกอื่นในสถานการณ์แบบนี้คือการเปลี่ยนไปลงทุนต่างประเทศแทน หรือไม่ก็ต้องลงทุนแบบ bottom up เป็นหลัก มองหุ้นเป็นตัวๆ ขุดข้อมูลรายตัวหุ้นให้ลึกๆ  หาเพชรในกองขี้ให้เจอ ซึ่งก็อาจจะเป็นเจอหุ้นซิ๊ง หุ้นปั่น หุ้น fraud แต่ก็เป็นความเสี่ยงที่จะต้องแบกรับเพิ่มเพื่อแลกกับผลตอบแทนคาดหวังในระดับสูงเป็นธรรมดา

แต่เอาเถอะ พอร์ตนี้ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะลงทุนให้ครบ 15 ปี the show must go on. ก็ถือว่าเป็นความท้าทายแบบใหม่ก็แล้วกันว่า ถ้าหากเรามองสถานการณ์ไม่ดี แล้วจะเราจัดพอร์ตแบบไหน เพื่อให้พอร์ตออกมาดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยนี้

ทั้งหมดคือมุมมองภาพรวมตลาดที่ผมมองอยู่ในช่วงที่ผ่านมา ทีนี้ก็เหลือแค่ว่าจะเลือกหุ้นเข้าพอร์ตยังไงดี ตอนนี้ผมได้รายชื่อหุ้นใหม่ในพอร์ตเรียบร้อยแล้ว เอาไว้โพสต์น่าเรามาคุยกันต่อว่าแต่ละตัวมาด้วยเหตุผลยังไง

 

 

ใกล้ถึงสิ้นปีที่ 11 ของพอร์ต 7LTG แล้ว

เผลอแป๊บเดียวผ่านไปอีกหนึ่งปี การสรุปประจำสิ้นปีที่ 11 ของพอร์ต 7LTG ก็กำลังจะมาถึงอีกแล้ว ( 25 กันยายน ของทุกปี)

ตั้งแต่ต้นปีมา ยังไม่ได้เปิดดูพอร์ตเลย ไม่กล้าดู อีกอย่างหนึ่งคืออยากพิสูจน์ด้วยว่า การสร้างพอร์ตแบบนี้ขึ้นมา แล้ว DCA ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจความผันผวนระหว่างทางจะเป็นวิธีลงทุนที่ใช้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีวิกฤต พอร์ตจะผ่านวิกฤตไปได้หรือไม่ บ่อยครั้งพอร์ตของนักลงทุนไม่ได้พังเพราะมีวิกฤต แค่ถือต่อไปเรื่อยๆ มันก็กลับมาได้ แต่เพราะนักลงทุนไปนั่งมองมันทุกวัน ช่วงที่อยู่ในวิกฤตก็เลยจิตตก คัตลอส ขายขาดทุนออกมา ทั้งที่จริงๆ แล้ว แค่รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไป พอร์ตก็กลับมาได้เอง ง่ายๆ เลย

ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะปรับพอร์ตให้น้อยที่สุด ประมาณ 0-1 ตัวต่อปี แต่ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่หนักหน่วงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมเริ่มเป็นห่วงหุ้นไทยในประเด็น Digital Disruption มากขึ้นเรื่อยๆ และพอมีโควิด ก็ยิ่งเร่งให้เห็นความน่ากลัวนี้มากขึ้นอีก อันที่จริงผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องโควิดเลย เพราะคิดว่าสุดท้ายแล้วยังไงก็จบ แต่เป็นห่วงเรื่อง Digital Disruption มากกว่า โควิดแค่ทำให้ภาพของ Disruption มันชัดขึ้นอีกเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าเดือนกันยายนนี้จะมีการปรับพอร์ตใหญ่หนึ่งครั้ง โดยธีมสำคัญที่ใช้พิจารณาคือ ต้องการหุ้นที่ทนทานต่อ Digital Disruption เป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังต้องการให้พอร์ตของหุ้นเป็นพอร์ตที่ค่อนข้างตั้งรับ (Defensive) เพราะมองว่าห้าปีสุดท้ายของพอร์ต  (2020-2024) ประเทศไทยจะเผชิญความท้าทายที่หนักหน่วง เลือกหุ้นที่แข็งแรงไว้ก่อนดีกว่า เอาตัวให้รอดให้ได้ก่อน อย่าไปหวังการเติบโตแบบเดียวกับห้าปีแรกของพอร์ตเลย

อย่างที่ได้เคยสัญญาไว้ว่าถ้ามีการปรับพอร์ตจะมีการแจ้งล่วงหน้า 1 เดือน ดังนั้นช่วงนี้ขอเวลาคิดให้รอบคอบก่อน แล้วจะมาประกาศก่อน วันที่ 25 สิงหาคม ศกนี้ ว่าจะปรับยังไงบ้าง แต่นอกเหนือจากธีมที่ได้บอกไป รอบนี้คิดๆ ไว้ว่า จะปรับเฉพาะรายชื่อหุ้นที่จะซื้อต่อไปเท่านั้น ส่วนหุ้นที่ถูกปรับออกจากรายชื่อจะคงไว้ในพอร์ตไม่ต้องขายออกมา เพราะผมมองว่าหุ้นท่ีโดนปรับออกไม่ได้เลวร้ายมากขนาดที่จะต้องขายทิ้ง ไม่อยากให้การบริหารจัดการพอร์ตยุ่งยากเกินไป ขอปรับแค่รายชื่อที่จะซื้อใหม่ต่อจากนี้อย่างเดียว

 

ป.ล. ตกลง MINT ในพอร์ต ผมได้ทำการซื้อหุ้นเพิ่มทุนตามสัดส่วนไปแล้วนะครับ ส่วนวอร์แรนต์ที่จะออกมาในอนาคต ถ้าเข้าพอร์ตมาเมื่อไร คิดว่าน่าจะขายทิ้ง เพราะเป็นแนวทางที่พอร์ตนี้ใช้มาตลอด ทุกครั้งที่ได้รับแจกวอร์แรนต์

 

 

 

งานวิจัยที่ไขรหัสการลงทุนของวอเรน บัฟเฟต – Buffett’s Alpha

พูดถึงงานวิจัยที่วิเคราะห์วิธีการลงทุนของ Berkshire Hathaway และพิสูจน์สมมติฐานต่างๆ ที่เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าคือวิธีที่ทำให้วอเรน บัฟเฟต ประสบความสำเร็จในการลงทุน

https://youtu.be/PquNZBAUDkk

9 Checklist ของการคัดเลือกหุ้น

เรื่องที่นักลงทุนมักผิดพลาดได้ง่าย ก็การที่กิจการหนึ่งๆ มีเรื่องที่ให้ต้องมอง ต้องตรวจสอบ เยอะมาก การที่เราละเลยไม่ได้มองมิติใดมิติหนึ่งของหุ้นไป สามารถทำให้เราผิดพลาดจากการลงทุนหุ้นตัวนั้นอย่างมากเลยก็ได้ ต่อไปนี้คือ Checklist ที่จะช่วยให้นักลงทุนดูให้รอบคอบอีกทีว่าเรามองหุ้นที่จะลงทุนนั้นอย่างรอบด้านแล้วหรือยัง Continue reading “9 Checklist ของการคัดเลือกหุ้น”

ไอเดียการลงทุน EP.1 – Active Fund มักพลิกเอาชนะ Passive ได้ในช่วงตลาดขาลง

ลองมองหาไอเดียการลงทุนจากงานวิจัยที่บอกว่า Active Fund มักพลิกชนะ Passive ได้ในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง

Continue reading “ไอเดียการลงทุน EP.1 – Active Fund มักพลิกเอาชนะ Passive ได้ในช่วงตลาดขาลง”