ผมเคยเป็นนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจหุ้นสักตัวหนึ่งในทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ แล้วลงทุนด้วยเงินมากๆ เพื่อให้สามารถทำกำไรได้ครั้งละเยอะๆ ในช่วง 3-4 ปีแรกที่ผมเริ่มต้นลงทุน และมองว่า การเลือกหุ้นให้ถูกตัวคือเรื่องสำคัญที่สุดของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ
แต่หลังจากนั้นความคิดของผมก็เริ่มเปลี่ยนไป เอาเข้าจริงๆ หุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรแน่นอน ต่อให้คิดมาดีแค่ไหน ก็ยังเจอปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้อีกเยอะมาก สุดท้ายแล้ว วิธีการลงทุนอะไรก็ตามที่ต้องพึ่งความสามารถในการเลือกหุ้นให้ถูกตัวมากๆ กลายเป็นวิธีการที่ไม่ดีอย่างที่คิด
นอกจากนี้ เวลาเราเห็นกูรูหุ้นคนไหนเก่งมาก เพราะว่าเลือกหุ้นถูกตัวตลอด แล้วเราอยากเดินตามแนวทางของกูรูคนนั้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จบ้าง แต่การเลือกหุ้นให้ถูกตัวตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเราไม่ได้เป็นอัจฉริยะหรือมีวิสัยทัศน์ขนาดกูรูคนนั้น มันจะกลายเป็นทางสู่ความหายนะ เพราะเราจับวิธีการที่ต้องการทักษะบางอย่างที่กูรูมี แต่คนธรรมดาไม่มี
คนที่เลือกหุ้นถูกตัวตลอดเวลาไม่มีอยู่ในความเป็นจริง เพราะหุ้นเต็มไปด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ที่เราเห็นบางคนเลือกหุ้นถูกอยู่เรื่อยๆ มักเป็นเพราะเราไม่ได้เห็นภาพทั้งหมด เขาแค่หันด้านที่เขาประสบความสำเร็จให้เราดูเท่านั้น เวลาที่เขาเลือกหุ้นผิด เขาไม่ได้บอกเรา
คนที่มีความเชื่อว่าต้องเลือกหุ้นถูกตัวเก่งเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน ก็จะมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นคนที่ชอบซื้อหุ้นตามคนอื่นด้วย คือคิดว่าก็เราไม่เก่งขนาดกูรู ทำไมเราไม่ซื้อหุ้นตามกูรูล่ะ ทัศนคติแบบนี้มักนำพานักลงทุนไปสู่การเป็นแมงเม่าแห่ตามคนอื่น ซึ่งก็มักไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
ผมกลับชอบแนวคิดที่ว่าจริงๆ เราไม่ต้องเลือกหุ้นถูกตัวบ่อยๆ เพียงแต่ว่า ทุกครั้งที่เราเลือกถูก เรา let the profit run ไม่รีบขายหมู ทำให้เราได้กำไรจากหุ้นตัวนั้นเยอะๆ ทั้งที่หุ้นตัวอื่นในพอร์ตของเราแทบไม่วิ่งเลย แต่เราก็มีผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะเราไม่ขายหุ้นที่เราได้กำไรเร็วเกินไป อะไรทำนองนี้ เป็นแนวคิดที่ไม่ต้องพึ่งความสามารถในการเลือกหุ้นให้ถูกตัวตลอดเวลาแบบเทวดา
ที่ชอบมากคือแนวคิดของปีเตอร์ลินซ์ที่บอกว่าถ้าคุณเลือกหุ้น 5 ตัวในพอร์ต สุดท้ายแล้วคุณมักจะพบว่า มีแค่ตัวเดียวที่ได้กำไรมากตามที่คุณคิดไว้ อีกหนึ่งตัวจะได้กำไรมากแบบเหนือความคาดหมาย ส่วนอีกสามตัวจะได้กำไรหรือขาดทุนแค่เล็กน้อย รวมๆ แล้วพอร์ตของคุณก็จะมีกำไรที่น่าพอใจแล้ว นั่นคือจริงๆ แล้วนักลงทุนคนนั้นตีแตกแค่ตัวเดียว แต่ก็มีผลตอบแทนที่ดีได้ จากประสบกาณ์ตรงของผม ผมก็รู้สึกว่ามันมักจะเป็นแบบนั้นจริงๆ หุ้นบางตัวเราวิเคราะห์หนักมาก แต่ให้ผลตอบแทนธรรมดาา แต่บางตัวซื้อแบบไม่ค่อยได้คิดอะไรเท่าไร กลับได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ หุ้นมีแต่ความไม่แน่นอน อย่าไปเล็งผลเลิศ หรือคิดอะไรที่เป๊ะๆ มากเกินไป เพราะมันะจะไม่เป็นแบบที่เราคิดอยู่ดี
เวลาดัชนี SET50 ขึ้นจาก 500 ไป 1000 จุด หุ้นทั้งห้าสิบตัวในดัชนีไม่ได้ขึ้นทุกตัว บางตัวลงด้วยซ้ำ แต่SET50 ก็ยังขึ้นไปเท่าตัวได้ แสดงว่าจริงๆ แล้วไม่จำเป็นเลยที่หุ้นทุกตัวในพอร์ตจะต้องได้กำไรเสมอไป ตราบใดที่ผลตอบแทนรวมของพอร์ตมีกำไร คุณจะแคร์ทำไมว่าหุ้นทุกตัวในพอร์ตจะต้องเขียวหมดทุกตัว การคาดหวังแบบนั้นจะทำให้คุณขายหุ้นทิ้งอยู่เรื่อยๆ สุดท้ายแล้วพอร์ตของคุณจะไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม พอทุกอย่างกลับทิศทาง แทนที่การขายบางตัวทิ้งจะช่วยให้คุณได้กำไร มันกลับทำให้คุณขาดทุนเพิ่มขึ้น
สุดท้ายนี้ อย่ากลัวที่จะคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตด้วยตนเอง ปีเตอร์ลินซ์พิสูจน์มาแล้วว่าเด็กอนุบาลในโรงเรียนแห่งหนึ่ง สามารถเลือกหุ้นชนะนักวิเคราะห์หุ้นที่ทำให้ในบริษัทหลักทรัพย์ได้ หุ้นไม่เหมือนกับความเชี่ยวชาญอย่างอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้เก่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปมากอย่างที่เราคิด เพราะหุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยไม่แน่นอนสูงมาก อย่าไปซีเรียสกับการเลือกหุ้นจนเกินไป