0345: ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล

จุดอ่อนอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นบ้านเราคือ บ้านเราไม่ใช่สังคมแบบทุนนิยม บริษัทจำนวนมากจึงไม่อยู่ในโหมดของการแสวงหาการเติบโตแบบต่อเนื่อง ทำให้หาหุ้นเติบโตที่จะลงทุนในระยะยาวได้ยาก พวกที่บอกว่าจะโตเยอะๆ ก็มักเป็นพวกหน้าใหม่ ต้นทุนทางสังคมต่ำ ลงทุนระยะยาวแล้วเสียวมาก เพราะที่ปรากฏว่าโตได้ปีเดียวแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ขาดทุนหนักมีเยอะ พวกที่มีฐานธุรกิจที่มั่นคงแล้วก็มักไม่อยู่ในโหมดของการเติบโตแล้ว จะหาแบบที่พื้นฐานดีๆ และในเวลาเดียวกันก็โตไปเรื่อยๆ ด้วย (best of both worlds) ยาก ต้องเฟ้นกันหนัก

ผมว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มสนใจบริษัทนี้ เพราะไมเนอร์เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีฐานธุรกิจที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว แต่ก็ยังมี “สัญญาใจ” กับผู้ถือหุ้นที่จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้ปีละ 20% โดยไม่มีวันหยุด (ระบุไว้ในวิสัยทัศน์ของบริษัทด้วย) มันจึงเป็น candidate ของ 7LTG ที่น่าสนใจมาก การลงทุนในบริษัทที่ยังต้องพึ่งพาตลาดทุนในการขยายธุรกิจอยู่เสมอ ยังมีข้อดีอีกตรงที่บริษัทยังต้องแคร์ความรู้สึกของผู้ถือหุ้นอยู่ ถามอะไรก็รีบตอบ ตีหัวเข้าบ้านยังไม่ได้ ต่างกับบริษัทที่ธุรกิจอิ่มตัวแล้ว พึ่งตัวเองในเรื่องเงินทุนได้ อาจมองผู้ถือหุ้นเป็นแค่ยุงรำคาญที่รอแต่จะเอาเงินปันผลจากบริษัท

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าแค่มีสัญญาใจว่าจะโตไปเรื่อยๆ แล้วจะทำให้ผมตัดสินใจลงทุนได้ บริษัทต้องมี Growth Strategy ที่มีความเป็นไปได้ด้วย นอกเหนือจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของบริษัท

รายได้กว่าครึ่งของไมเนอร์นั้นมาจากการทำธุรกิจเชนร้านอาหารตามห้างฯ ตัวอย่างเช่น Burger King, DQ, Swensens, Sizzler, The Pizza Company เป็นต้น ธุรกิจแบบนี้โตไปเรื่อยๆ ได้ไม่ยาก เพราะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี ตามการขยายตัวของห้างฯ แรกๆ ก็ต้องลงทุนขยายสาขาเองก่อนซึ่งจะใช้เงินทุนมากหน่อย เมื่อแ่บรนด์ไหนติดตลาดแล้วก็จึงสามารถขาย Franchise เพื่อให้การขยายสาขาไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะมากได้ นับเป็นการเอา intellectual property ที่สร้างมาในช่วงแรกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในภายหลัง ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากนี้บริษัทยังมีการขยายสาขาไปต่างประเทศ โดยวิธีเข้าไปถือหุ้นแบรนด์ที่เห็นว่ามีศักยภาพ เช่น the Coffee Club (Australia), Thai Express (Singapore) แล้วเติบโตไปกับเขา เป็นต้น เหตุที่การขยายธุรกิจไปต่างประเทศควรใช้วิธีนี้เพราะในต่างประเทศแบรนด์สากลก็มักจะมีคนอื่นถือสิทธิ์อยู่แล้ว เลยต้องโตไปกับ local brand ของประเทศนั้นๆ ที่เห็นว่ามีศักยภาพแทน

ปัจจุบันบริษัทมีแล้ว 1133 ร้านสาขา (เป็น Franchise 39%) เทียบกับเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่มีแค่ 354 สาขาและเป็นร้านของตัวเองเกือบทั้งหมด การที่สาขาเป็นแบบ Franchise มากขึ้นย่อมแสดงถึง intellectual property ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ภายในปี 2015 บริษัทจะมีให้ได้ 2174 สาขา และเป็น Franchise ให้ถึง 64% ให้ได้ ธุรกิจอาหารเป็นส่วนที่ผมชอบที่สุดของไมเนอร์ เพราะที่ผ่านมาสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ และเราเห็นได้ชัดเจนว่าเขาทำตลาดได้เก่งกว่าคู่แข่งของเขาเป็นส่วนใหญ่ (Pizza Hut, Baskin Robbins, etc.) จะแย่หน่อยตรงที่ต่างประเทศเวลานี้ยังแย่อยู่ เช่น The Pizza Company ที่จีน ทุกวันนี้ยังขาดทุนอยู่, Thai Express ยังหดตัว เป็นต้น แต่ผมก็มองว่า ถ้าให้เวลาบริษัทแก้ปัญหาสักพักต้องดีขึ้น เหมือนอย่างสมัยก่อนตอนที่เขาเริ่มทำตลาด Pizza Hut ใหม่ๆ เขาต้องใช้เวลาอยู่นานหลายปีกว่าจะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้ ส่วนการซื้อแบรนด์ต่างประเทศที่ผ่านมาแม้จะดูเหมือนเป็นแบรนด์ที่ยังไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร แต่ผมก็มองว่านั่นคือกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพราะคุณควรซื้อแบรนด์ที่ยัง mismanaged อยู่แล้วเอา know-how ของคุณเข้าไปปรับปรุงเพื่อ unlock value ออกมา มากกว่าที่จะซื้อแบรนด์ที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้วตั้งแต่แรกด้วยราคาแพงๆ

ธุรกิจอีกส่วนของไมเนอร์คือ ธุรกิจโรงแรม ซึ่งมีอยู่หลายแบรนด์เช่นกัน เช่น Anantara, Four Seasons, JW Marriott เป็นต้น โมเดลเติบโตก็เป็นแบบเดียวกันเปี๊ยบคือขยายสาขาไปเรื่อยๆ แต่ต่างกันตรงที่ ธุรกิจโรงแรมนั้นลงทุนเริ่มต้นสูงกว่ามาก แต่กลับคืนทุนได้ช้ากว่า สรุปก็คือ ห่วยกว่าธุรกิจอาหารนั่นเอง เพราะโรงแรมเป็นธุรกิจที่เข้ามาได้ง่ายมาก ลองนึกดูสิว่าแต่ละปีมีโรงแรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมากขนาดไหน ฉะนั้นต่อให้เป็นโรงแรมหรูๆ ก็ยังคาดหวัง IRR ไ้ด้แค่ระดับสิบกว่าเปอร์เซนต์เท่านั้น อีกทั้งโรงแรมยังเป็นธุรกิจที่อ่อนไหวต่อ consumer sentiment อย่างมากอีกต่างหาก ช่วงสองปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามบริษัทก็พยายามใช้โมเดลรับจ้างบริหารแทนการลงทุนสร้างโรงแรมเอง เพื่อช่วยลดเงินลงทุน (asset-light strategy) และเพิ่ม ROI แต่วิธีนี้ก็มีจุดอ่อนตรงที่ตัวเลขรายได้ที่เข้ามาจะค่อนข้างเล็ก ทำให้สร้างการเติบโตแบบเป็นกอบเป็นกำตามเป้าไม่ได้ บริษัทจึงยังต้องเน้นการสร้างโรงแรมเองควบคู่ไปกับการรับจ้างบริหารต่อไป ธุรกิจโรงแรมของบริษัทเป็นส่วนที่ผมไม่ค่อยชอบเอาเสียเลย แม้ว่า EBITDA จะดูสูงกว่าอาหาร แต่ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องหลอกตา เพราะว่า CAPEX ของมันสูงมาก ผมว่าที่บริษัททำธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งมาจาก passion ส่วนตัวของเจ้าของเองด้วยจึงเป็นเรื่องที่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่าแค่เหตุผลทางธุรกิจ

ช่วงหลังบริษัทพบว่าการทำ Residence แบบขายขาด จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการทำเป็นโรงแรม (แม้ว่าจะเป็นรายได้ที่ขึ้นๆ ลงๆ) บริษัทจึงหันมาทำ Property เสริมด้วยอีกส่วนหนึ่งในนาม St.Regis ขายขาดยูนิตละ 70-200 ล้านบาท ก็เลยเพิ่มมาอีกสายธุรกิจหนึ่ง ในอนาคตบริษัทก็ยังคิดทำ Timeshare เพื่อช่วยดึง Occupancy Rate ให้ stable ขึ้น (at the expense of room rate) เรื่องการเติบโตด้วย room rate นั้นในกรุงเทพตอนนี้หวังยากเพราะ oversupply การแข่งขันรุนแรงราคามาก ที่หวังขึ้นได้บ้างก็คงเป็นส่วนของต่างจังหวัดและต่างประเทศมากกว่า เวลานี้บริษัทเริ่มมองลูกค้าจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ที่มีกำลังสูง เพื่อมาทดแทนลูกค้ายุโรปที่กำลังซื้อตกลงไปจากวิกฤต ในอนาคตบริษัทกำลังพิจารณาขายโรงแรมในพอร์ตบางส่วนที่เห็นว่ามี market value สูงกว่า book value มากๆ เพื่อเป็นการ unlock value ในส่วนที่ตลาดหุ้นไม่ได้ให้พรีเมี่ยมด้วย

จะเห็นว่าแม้ธุรกิจโรงแรมจะมีปัญหาต่อเนื่องแต่ บริษัทก็พยายามหาทางแก้ไขตลอด และ occupancy rate ของบริษัทนั้นสูงกว่าระดับเฉลี่ยของอุตสาหกรรมตลอด แสดงว่าพอร์ตของบริษัทค่อนข้างดีกว่าคู่แข่ง ทำให้บริษัทก็ยังคงมีกำไรได้แม้ในช่วงที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งคู่แข่งล้วนติดตัวแดงกันไปหมดแล้ว เลยพอจะให้อภัยในส่วนนี้ได้

ปัจจุบันบริษัทมีห้องพักรวม 3655 ห้อง เป็นรับจ้างบริหาร 18% เทียบกับแปดปีก่อนที่ี 2055 ห้องลงทุนเองหมด ภายในปี 2015 บริษัทจะมีให้ได้ 5791 ห้อง และเป็นรับจ้างบริหารให้ได้ถึง 40% (ผมว่า aggressive ไปนิด)

ธุรกิจส่วนสุดท้ายคือร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนม เช่น GAP, Esprit, Bossini เป็นต้น ธุรกิจส่วนนี้ยังขาดทุนอยู่ แต่เป็นสัดส่วนที่เล็กจึงไม่น่ากลัวเท่าไร และผมก็มองว่า ในอนาคตน่าจะดีขึ้น เพราะคนไทยน่าจะมีความเป็นอยู่สูงขึ้น ค่าเงินบาทก็แข็ง ธุรกิจแบบนี้จึงน่าจะได้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้นี้นะครับ

ช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทโดนมรสุมอย่างหนักทั้งวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบธุรกิจของบริษัทโดยตรงแทบทุกสายธุรกิจ จึงไม่สามารถเติบโต 20% ได้ตามสัญญา ต่างกับแต่ก่อนนี้ที่บริษัทเติบโตได้ 20% ทุกปี ติดต่อกัน 6-7 ปีเลยทีเดียว (ไม่รู้ทำไม พอเราเริ่มสนใจทีไร มันต้องเริ่มไ่ม่ดีพอดีทุกที) เท่าที่ทราบมา ไตรมาส 4/53 ที่จะถึงนี้ ก็จะยังไม่ดีขึ้น เพราะถ้าคำนวณจากยอดจองห้องพักที่เข้ามาตอนนี้แล้วเทียบกับปีก่อน บริษัทคาดว่า occupancy rate ปลายปีน่าจะแค่เท่าๆ กับปีที่แล้วเท่านั้น ถัดจากนี้ไป ผมก็ยังไม่คิดว่าปัญหาการเมืองบ้านเราจะจบ มันแค่หยุดไปพักหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นการจะหวังว่าบริษัทจะดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้คงจะยังหวังมากไม่ได้ อีกสักพักก็คงกลับมาใหม่

แต่ผมยังไงผมก็ยังเชื่อว่า ที่สุดแล้ว บริษัทนี้จะสามารถบรรลุเป้าหมายในระยะยาวได้ (แต่คงเป็นแบบ bumpy ไปตลอดทาง) บริษัทตั้งเป้าจะมีรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นให้ได้อย่างน้อยเป็น 40% ภายในปี 2015 นั่นจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทไม่ต้องผูกอยู่กับประเทศไทยประเทศเดียวเหมือนอย่างเดิม ในระยะยาวกำไรน่าจะเสถียรขึ้นได้ และผมก็มองว่า ในอนาคต บริษัทไทยที่จะยิ่งใหญ่ต่อไปได้ จะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาคให้ได้ การที่บริษัทเริ่มไปต่างประเทศตั้งแต่วันนี้ น่าจะช่วยให้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไปได้ด้วยครับ และการที่บริษัทยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องยังทำให้เมื่อไรก็ตามที่การเมืองนิ่งๆ ได้สักพักใหญ่ๆ สิ่งที่บริษัทได้สร้างเอาไว้ตลอดสองปีก็จะมีโอกาสได้ฉายประกายออกมาด้วยครับ ที่จริงแล้วบริษัทเคยเจอมรสุมที่หนักกว่าสองปีนี้มากตอนที่ไม่ได้ต่อสัญญา Pizza Hut กับทาง Yum ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าบริษัทนี้คงหมดทุกอย่างแล้ว แต่ปรากฏว่ากลับการเป็นแรงผลักดันให้บริษัทฮึดกลับขึ้นมาใหม่จนยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก สองปีนี้จึงถือว่าเด็กๆ ครับ บริษัทที่มีทัศนคติที่ดียังไงก็ต้องกลับมาดีได้ครับ

สรุปแล้ว แม้ว่าดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเร็วๆ นี้ แต่ยังมองว่าในระยะยาวบริษัทนี้ต้องยิ่งใหญ่กว่าในปัจจุบันอย่างมากแน่นอน เหมือนกับที่ทุกวันนี้บริษัทยิ่งใหญ่กว่าเมื่อแปดปีก่อนมาก เพราะเป็นบริษัทที่มีการแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา ผมจึงยังมีความมั่นใจในอนาคตระยะยาวของบริษัทนี้อยู่ เลยตัดสินใจให้บริษัทนี้ยังได้ไปต่อใน 7LTG นะครับ แต่ถ้าจะให้เกรดคงให้แค่ B+

คำเตือน : บทวิจารณ์นี้เป็นแค่การมองภาพใหญ่ของบริษัทในระยะยาวเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับทิศทางของผลประกอบการระยะสั้นของบริษัทเลยแม้แต่น้อย ผู้อ่านจึงไม่อาจนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในระยะสั้นได้เลย (7LTG สนใจแต่ภาพใหญ่ในระยะยาวของบริษัทที่จะลงทุนเท่านั้น) อีกทั้งข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์เป็นข้อมูลที่หาได้ในช่วงที่เขียนบทวิจารณ์เท่านั้น ในอนาคตปัจจัยต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อีก จึงไม่อาตยึดถือได้ตลอดไป

73 Replies to “0345: ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล”

  1. ผมชอบ Mint ครับ

    ถ้าตัดธุรกิจโรงแรมทิ้ง คุณนรินทร์จะให้เกรด A มั้ยครับ?
    🙂

  2. ขอบคุณมากครับ^^ ได้เข้าใจมุมมองด้าน Management ของ MINT มากขึ้นเยอะเลย

    ดูพี่นรินทร์ค่อนข้างให้เครดิตกับการบริหารของบริษัทนี้มากๆ
    แล้วสำหรับการลงทุนยาวๆแบบ 7LTG พี่มอง MINT ในยุค Post William เป็นยังไงบ้างครับ?

  3. ขอบคุณครับ บทความครบถ้วน ไม่ผิดหวัง

    เสื้อผ้า ยี่ห้อ bossini, g2000, giordano ฯลฯ ที่ประเทศเรา sale70% ยังแพงกว่าที่ฮ่องกงราคาปกติ

    รออ่านข้อมูล บริษัทที่เหลือใน 7thLTG ครับ แหะๆ

  4. ขอบคุณมากครับ 😀

    ขอ PS อีกตัวได้ไหมครับ แถมช่วงนี้มรสุมเยอะเหลือเกิน
    สงสัยว่า property stock นี่ มันลงทุนยาว 15 ปี ได้จริงหรือ ?

    ปล 10Q3 Analyst Meeting ครับ

    http://ir.listedcompany.com/tracker.pl?type=5&id=28116&redirect=http%3A%2F%2Fps.listedcompany.com%2Fmisc%2Fpresentations%2FQ310_Performance.pdf

  5. MINT ผมว่าผู้บริหารเก่งมากครับ

    ถ้าเปลียนผู้บริหาร พี่จะให้เท่าไรครับ

  6. @Dream Theater
    เป็นข้อมูลที่ดีครับ นั่นน่าจะเป็นคำตอบว่าทำไม bossini ยังขาดทุนอยู่

    @ปาล์ม @ko_hisashi
    ถัดจากวิลเลี่ยมก็มีคุณปรารถนาไง ทุกวันนี้คุณปรารถนาน่าจะ take control operations ส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว และเขาก็กำลัง build ลูกเขาด้วย

    การที่บริษัทไปได้ดีเพราะผู้บริหาร อาจเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง แต่ถัาสังเกตดูบริษัทที่ยอดเยี่ยมมักเป็นเพราะผู้นำ Berkshire, Apple, Workpoint, Pruksa ทั้งนั้น บริษัทที่ bureaucratic มักเข็นอะไรที่โดดเด่นออกมาไม่ได้

    ถ้าให้ซื้อตัวเดียวเต็มพอร์ต ผมคงไม่เลือกบริษัทที่ขึ้นกับผบห.เลย แต่เราสามารถซื้อหลายๆ ตัวได้

  7. ในพอร์ต 7thLTG ตัวที่ผมไม่ลงทุนตามคุณโจ๊ก คือตัวนี้ตัวเดียว
    ยิ่งถ้าเหตุผล คือ เชื่อถือตัวเจ้าของ ผมยิ่งมั่นใจที่จะไม่ลงตาม
    ผมเดินตามคุณโจ๊ก โดยให้น้ำหนักมากเรื่องธรรมาภิบาล

    แต่คงไม่มีปัญหากับพอร์ตคุณโจ๊ก เพราะเป็นแค่ 1 ใน 7

  8. MINT ไม่ใช่บริษัทที่ทุกอย่างอยู่ที่ผบห.นะครับ ทุกวันนี้ตัวบริษัทเองก็มีฐานที่มั่นคงแล้วด้วย

    ต่อให้ ผบห.MINT ตายกะทันหัน ผมก็ยังมองว่าคุณค่าของ MINT จะตกลงมาเหลือแค้เท่ากับ CENTEL เท่านั้น เพราะทั้งสองบริษัทมีฐานที่มั่นคงแล้วเหมือนกัน แต่ CENTEL นั้นยังขาดผบห.ที่เก่งอยู่

    เป็นต้น

  9. อยากรู้เหตุผม ที่ other side Says ที่ไม่เลือก MINT ครับ

    สำหรับผมหุ้น MINT เป็นตัวเลือกตัวอันดับ 1 ของตลาดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราเลยครับ

    มีติดพอร์ทผมตลอด(อย่างน้อย 40-50 % ของพอร์ท)ผมก็มีความเห็นเหมือนพี่สุมาอี้คือ

    MINT มีจุดอ่อนที่ โรงแรมครับ แต่ถ้าธุรกิจนี้ดีขึ้นก็จะทำกระแสเงินสดให้กลับบริษัทมาก

    ขึ้นมากๆๆ เรื่องผู้บริหาร ผมเขาทำงานเป็นทีมนะครับ อย่างไปหาแบรนสินค้าที่จะซื้อเข้าพอร์ท

    บริษัท คุณวิลเลี่ยม กับคุณปรารถนา ก็ไม่ได้ไปหาดูที่ประชุม oppday เขาบอกว่าเขามีที่งาน

    “ทีมงานเขาเก่ง”

    ผมว่าในหุ้น MINT มีหุ้น 2 ตัวกันรวามกันอยู่ครับ

    ตัวที่1 คือ CPALL คือ ธุรกิจ อาหาร ที่เอาเงินมาก้องไว้ที่ตักบริษัท
    ตัวที่2 คือ PS คือ หุ้นโรงแรมครับ อย่าให้ถึงรอบบ้างแล้วกัน

  10. เป็นการวิเคราะห์ที่สุดยอดโดยแท้ ขอคาราวะ

  11. MINT เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่อยุ่ใน Watch List ของผมครับ ดูมาเป็นดือน แต่ยังตุ้มๆต่อมๆ กับธุรกิจโรงแรมครับ คู่แข่งเยอะจริงๆ (แต่ขยายออกไปนอกประเทศก็ค่อยน่าชื่นใจ)
    ส่วนธุรกิจอาหารไม่ค่อยกังวล ยกเว้ณพิซซ่าคอมพานี
    ส่วน St.Regis นี่ผมยังงๆ คับ ไม่เข้าใจคับ ว่าเป็นการขายขาดหรือเป็นการให้เช่า
    ผมเพิ่งเริ่มลงทุนได้แค่ 6 เดือน กำลังติดตามอ่าน Blog ของคุณ Dekisugi คับ ได้ความรู้เยอะดีครับ
    ขอบคุณครับที่สละเวลามาเแชร์อะไรดีๆ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ดูเลวร้ายอย่างที่คิดครับ :chic:

  12. pizza company สาขาแถวบ้าน เดินผ่านทีไร ก็คนหลอมแหลม ทั้งๆที่โต๊ะก็เยอะมาก เลยไม่แน่ใจว่ายอดขายในร้าน กับ ยอด delivery อะไรมันเยอะกว่ากัน แต่ดูจากสิ่งที่ตาเห็น บอกได้คำเดียวว่า ชักจะหนาว

  13. พิซซ่าโอเคนะครับ ไว้จะไปถามมาให้ว่ากำไรเท่าไร เพียงแต่ว่ามันเป็นธุรกิจแรกๆ ที่บริษัททำเมื่อนานมาแล้ว ทุกวันนี้มันจึงเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไปแล้ว แต่ช่วยผลิตเงินสดให้ตัวอื่นที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอยู่ได้

  14. ที่ผมทักมา ก็เนื่องจากเห็นคุณโจ๊ก สวมวิญญาณป๋าดัน สำหรับ 7thLTG ตัวนี้เป็นตัวแรก
    จึงอยากแชร์ความเห็นในด้านอื่นบ้าง
    โดยเรื่องที่ไม่เห็นด้วย ก็เนื่องจากได้มีโอกาสคุยกับผู้อาวุโสทางการตลาดท่านหนึ่ง
    ซึ่งเขามีมุมมองที่ไม่ดีนักตอ่เจ้าของบริษัทนี้
    ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก คนเราอายุปูนนี้ ย่อมผ่านอะไรทั้งดี ทั้งเลว มามาก
    เราอาจจะทำดีกับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วเลวกับคนที่เราเลือกที่จะเลวด้วย

    ในส่วนของการที่ บริษัทนี้เป็นที่ชื่นชอบของฝรั่ง
    ผมก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    โครงการบ้าน ที่ภูเก็ต ทำเลเดียวกัน ขนาดบ้านเท่าๆกัน
    คนไทยทำขายฝรั่งได้แค่ 5.0 ล้านบาท
    ฝรั่งขายฝรั่ง ขายได้เกือบ 10.0 ล้านบาท
    ฝรั่ง มันเชื่อพวกเดียวกันเอง มากกว่าคนหัวดำ ผิวเหลืองอย่างพวกเรา

    1. ลำดับที่เขียนถึงไม่มีนัยยะครับ พอดีตัวนี้เพิ่ง update ข้อมูลล่าสุดมาพอดี

  15. ชอบมากครับ ขอรีวิวแบบนี้ทุกตัวใน 7LTG เลยนะครับพี่ 🙂

  16. ผมเคยทำบริษัทในเครือนี้เกือบ 8 ปีครับ ยอมรับว่า ผบห. ระดับสูงเก่งมาก ๆ และการทำงานใช้หลัก benefit และ ใช้ key performance indicator ในการควบคุม ตรวจสอบ ติดตาม อย่างใกล้ชิด
    ดังนั้น แม้ยุค post heineck ผมว่าไม่น่ากระทบเยอะ คุณปรารถนา และ ทีม ผบห. สามารถ cover
    งานได้สบายครับ แต่ต้องดูว่า ลูกของคุณ heineck จะมี direction อย่างไร
    ส่วนตัวผมว่า mint มีคุณสมบัติหลายข้อใน กฎเหล็กของ philip fisher ครับ แต่ติดปัญหาที่ราคา ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่

  17. เป็นความเห็นที่มีค่ามากครับ มาจากคนที่เคยสัมผัสกับบริษัทมาเป็นระยะเวลายาวนาน

    ขอบคุณมากครับ

  18. ขอเสริมข้อมูลsectorท่องเที่ยวครับ

    1.จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างชาติปีนี้ น่าจะโตจากปีก่อนเกือบ10%ได้ไม่ยาก (เป้าของกระทรวงท่องเที่ยวฯเมื่อต้นปีที่15.2ล้านคน) คิดจากจำนวนนักท่องเที่ยว10เดือน + จำนวนนักท่องเที่ยว2เดือนสุดท้ายของปีที่2008 ก็ได้เกือบ15ล้านคนแล้ว คิดแบบconservativeสุดๆทั้งๆที่ปีนี้เกิดเผาบ้านเผาเมืองขึ้นด้วยซ้ำ
    http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fi … mp_id=0128

    2.จากข้อ1.หากดูเนื้อในแล้ว จะพบว่านักท่องเที่ยวจากEurope(ซึ่งมากเป็นอันดับสองโดยสัดส่วน ใน3ปีล่าสุด)กำลังลดลง
    ขณะที่นักท่องเที่ยวจากEast Asia(มากเป็นอันดับหนึ่งโดยสัดส่วน ใน3ปีล่าสุด)(ได้แก่Asean จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี ใต้หวัน)กำลังเพิ่มขึ้น –>ผมว่าเป็นสัญญาณที่ดีพอสมควรในระยะยาว เพราะ1.East asiaคนกะลังรวย 2.ค่าเงินAsiaแข็งค่าขึ้น แต่ผมไม่มีข้อมูลว่านักท่องเที่ยวจากที่ไหนจ่ายหนักกว่ากัน

    3.ข้อมูลจากการประกาศGDP Q3เมื่อวันจันทร์ที่22พ.ย.53
    -ภาคการท่องเที่ยวเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน มาเลเซีย และอินเดีย เป็นหลัก ส่งผลให้ GDP ในสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 10.1 เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 0.2 ในไตรมาสที่ผ่านมา
    การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ 5.0 อัตราการว่างงานต่ำที่ร้อยละ 0.9 ส่งผลให้
    ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น จะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในไตรมาสนี้
    อยู่ที่ระดับร้อยละ 80.5 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 75.9 ในไตรมาสที่ผ่านมา
    สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ขยายตัวร้อยละ 10.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากทวีปเอเชีย
    จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2554 คาดว่าจะมีประมาณ 15.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2553ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 15.2 ล้านคน
    http://www.nesdb.go.th/Portals/0/eco_da … 3-2010.pdf

  19. เรื่องนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผมใช้ดัชนีชี้วัดจาก ภรรยา ผมเอง อิอิ :rose:

    คืองี้ครับ.. แฟนผมเป็นหมอฟัน รพ.กรุงเทพพัทยา
    ในรอบ 5ปี ปีที่แล้วที่ว่าคนไข้ต่างชาติน้อย ปีนี้ยังมีน้อยกว่า

    คุณหมอแผนกอื่นก็รายได้น้อยลงเหมือนกันครับ

    ลองมาดูว่า ใครจะทำนายถูกนะครับ อิอิ

  20. ภาษิตจีนกล่าวว่า ‘งาช้างมั่นคงไม่หดคืน วาจามั่นใจไม่กลิ้งกลอก‘(เกี่ยวกันไหมหนอ)
    @Dream Theater ผมรับคำท้า รอดูกันครับ อิอิด้วยคน

  21. ขอแชร์ street data ด้วยอีกคน

    เพิ่งคุยกับแผงมือถือที่แอร์พอร์ตพลาซ่าเชียงใหม่เมื่อต้นสัปดาห์ เขาบอกว่า ช่วงเวลานี้ถ้าเป็นทุกปี นักท่องเที่ยวจะแน่นเชียงใหม่แล้ว แต่ปีนี้ยังบางตาอยู่

  22. เมื่อคืนก่อนแวะไปกินโจ๊ก ที่ แลนด์มาร์ค
    ตรงซอยข้างโรงแรม ตามร้านบาร์เบียร์ มีนักท่องเที่ยวแน่นทุกร้าน คึกคักมาก รู้สึกดีใจ
    แต่ไม่ได้ถาม ว่า มากขึ้น หรือ น้อยลง เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา

  23. ผมอยู่อยุธยาครับ ที่อยุธยานักท่องเที่ยวน้อยลงครับ ทัวยังมาไม่มากเหมือนแต่ก่อนครับ

    แต่คนเอเซียมีมากขึ้นครับ คนเอเซียรวยขึ้นมังครับ :laugh:

  24. ระบบอีเมล์หน้า contact เสียอยู่นะครับ พอดีจะสั่งหนังสือ.. วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง น่ะครับ ที่ร้านหนังสือบอกว่าหมด

  25. ทำตามวิธีใน https://dekisugi.net/books ได้เลยครับ ไม่ทราบเหมือนว่าทำไมอีเมลมันไม่เวิร์ค หาที่แก้ไขบ่เจอ:p

  26. เห็นข่าวในนสพ.วันนี้ว่าไมเนอร์จะหันมาลงทุนในธุรกิจอาหาร 80% โรงแรม 20% แทน จากเดิมที่ลงทุนโรงแรม 80% ถือเป็นข่าวที่น่ายินดีมากครับ (for the long term)

  27. ไม่รุ้ว่าคุณปราถนา แอบมาอ่านความเห็นคุณโจ๊กหรือเปล่า…^_^ เลยเห็นด้วยว่าน่าเพิ่มสัดส่วนของธุรกิจอาหาร

  28. พี่นรินทร์ ครับ อย่างนี้ให้ A+ กับ mint ได้ยังครับ ถ้าเป็น อย่างนั้นจริง

  29. ที่อ่านเจอเป็นเป้าลงทุนนะครับ มิใช่รายได้ แต่ไม่แน่ใจว่าอ่านเร็วไปด้วยรึเปล่า ไว้จะไปเอามาดูอีกทีนึง

  30. Facebook Logon เหมือนจะมีปัญหานะครับ ตอนนี้แก้ไขใหม่น่าจะใช้ได้แล้ว

  31. เช็คข่าวจากอีไฟแนนซ์ เหมือนจะเป็นปรับงบลงทุน เป็น อาหาร:โรงแรม 60:40 จากเดิม 20:80 นะครับ

  32. พี่โจ๊กคับถ้ารายได้ที่ ตปท มีมาก เงินที่ได้เป็นสกุลไหนเหรอคับ

  33. รายได้เป็นสกุลประเทศนั้นๆ ครับแต่ในงบการเงินต้อง translate กลับมาเป็นบาทครับ

    และถ้ามีการ remit กำไรกลับมาในภายหลัง ก็ต้องมีการแลกกลับมาเป็นบาทจริงๆ ด้วย แต่ถ้านำไปลงทุนต่อในประเทศเดิมก็ยังไม่มีการแลกเงินครับ

    ที่จริงการไปลงทุนต่างประเทศกระทบงบการเงินอะไรนั้น ปวดหัวมากพอสมควร คงกล่าวถึงได้ไม่หมด แต่สามารถหาอ่านได้จากพวกหนังสือบัญชีครับ

  34. ขอบคุนมากคับพี่โจ๊ก ทำไม connect facebook ไม่ได้หรอคับ ไม่ได้ Avatar เลย 555

  35. อ้าวยังไม่เวิร์คอีกเหรอ แก้ไขไปแล้วนะ

    ใครลองแล้วไม่เวิร์คอีกบ้างช่วยแจ้งด้วยครับ ขอบคุณครับ

  36. อ้าวยังไม่เวิร์คอีกเหรอ แก้ไขไปแล้วนะ

    ใครลองแล้วไม่เวิร์คอีกบ้างช่วยแจ้งด้วยครับ ขอบคุณครับ

  37. ผมมองว่าแผนระยะยาวของ mint ในธุรกิจโรงแรมคือการสร้าง anandra ให้เป็น global brand ดังนั้นต่อไปเราอาจจะเห็น mariott ที่เหลืออยู่ค่อยๆถูกเปลี่ยนเป็น anandra จนหมด (เหมือน royal garden resort ที่หัวหิน ) แล้วถ้าสร้าง brand anadra ได้จริง อันนี้จะเป็น asset ที่มีค่ามหาศาลมาก เพราะจะเอาไปใช้หากินกับการบริหารโรงแรมได้อีกยาว เหมือน model ของ hilton หรือ mariott

    พี่โจ๊กคิดว่าผมมอง model นี้ positive เกินไปหรือเปล่าครับ

  38. แผนของ mint ก็เป็นอย่างที่ว่ามาครับ โมเดลนี้ใช้เงินลงทุนน้อย ผลตอบแทนสูง แต่เนื่องจากต้องใช้เวลา implement นานมาก (การสร้างชื่อเสียงไม่อาจทำได้ในชั่วข้ามคืน) ทำให้หากพึ่งพาการเติบโตด้วยวิธีนี้อย่างเดียว อาจจะทำให้เติบโตได้ช้ามาก จึงจำเป็นต้องมีการสร้างโรงแรมเองควบคู่กันไปก่อน แต่สุดท้ายแล้ว เราควรจะเห็นรายได้จากค่า่บริหารเป็นสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว ถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ

  39. พี่โจ๊กครับ ถ้าพี่คิดว่าธุรกิจอาหารเพียวๆมันดูดีกว่า พี่คิดอย่างไรกับ S&P ครับ ?
    น่าจะเป็น pure play ร้านอาหารที่ไม่ต้องมี cyclical (ทางการเมือง 55)ของโรงแรมมาเจือปนไหมครับ?

    1. ลูกค้าในประเทศของ S&P นับวันมีแต่จะน้อยลง เพราะไม่สามารถ associate กับคนรุ่นใหม่ได้ และผมว่ามันเป็นช้อยหลังๆ ของคนที่ไปเดินห้างแล้วต้องการกินข้าวนะครับ ราคาอาหารค่อนข้างแพง แต่ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้เรายินดีจ่ายที่ราคานั้น ผมว่าร้านอาหาร S&P ได้ผ่านยุคทองของมันไปแล้ว คือช่วงปี 2530-2540 นะครับ

      ส่วนส่งออกของ S&P นั้นพอไปได้ เพราะมีการเติบโตที่ต่อเนื่อง ดังนั้นหุ้นตัวนี้จึงไม่ได้ถึงกับไม่ดี อาจถือไว้กินปันผลได้ แต่สำหรับ 7TLG นั้นยังไม่โดนครับ

  40. โอวเฉียบคมตรงประเด็นมากครับ ขอบคุณมากครับ
    อืมเห็นด้วยเลยครับ S&P ดูจะเป็น choice ของ cake, bakery กับ ของขวัญเทศกาลต่างๆ มากกว่า เป็น choice แรกๆ ของร้านอาหารไปแล้ว

  41. พี่โจ๊กขอปรึกษาหน่อยครับ

    ผมกำลังพยายาม valuation mint อยู่ แต่เจอปัญหาว่าธุรกิจของ mint ค่อนข้างแตกต่างกันมาก แบบนี้ควรใชวิธีไหนในการ valuation MINT ดีครับ

    ขอบคุณครับ

    1. ใช้วิธี sum of parts ก็ได้ครับ แยกตีมูลค่าทีละธุรกิจแล้วนำมารวมกัน แต่ข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยแยกรายธุรกิจจะต้องมีเพียงพอด้วย ถึงจะทำได้อย่าง meaningful ครับ

  42. CENTEL มี Business model คล้ายกับ MINT
    แต่ปัจจุบันทาง CENTEL focus ไปที่อาหารญี่ปุ่นซึ่งคนไทยชอบทานกันมาก
    เช่น CHABUTON, RYU ล่าสุดได้ Chain ร้านข้าวหน้าเนื้ออันเก่าแก่และประสบความสำเร็จสูง YOSHINOYA เข้ามาเสริมอีกและกำลังเร่งขยายสาขา

    พี่คิดว่าการเติบโตของ CENTEL สามารถเทียบกับ MINT ได้มั้ยครับ

  43. CENTEL มีประวัติศาสตร์ของการ mismanaged มาโดยตลอดนะครับ
    ทำ pizzahut ไม่เวิร์ค ก็ต้องคืนเขาไป
    ออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์แบบการันตีผลตอบแทนแล้วปรากฏว่าขาดทุน เลยต้องจายแทนทำให้บริษัทขาดทุนเป็นอันมาก
    ช่วงเวลาที่การท่องเที่ยวแย่ โรงแรมของ mint ยังมีกำไรอยู่ แต่ centel จะติดตัวแดง
    ล่าสุดเห็นข่าวว่าจะทำโรงแรมแบรนด์ล่าง ซึ่งเป็นการ act ที่ค่อนข้างช้า และตอนนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าโรงแรมแบรนด์ล่างไม่ดีอย่างที่คิด ดูตัวอย่าง ERAWAN เป็นต้น
    ผมไมเข้าใจว่า centel คิออย่างไรจึงไปซื้อ the TERRACE มาจากเซ็นทรัลนะครับ มองไม่ออกว่ามีอนาคตอย่างไร

    แต่ข้อดีของ centel คงเป็นเรื่องราคาหุ้นที่ถูกกว่า ถ้าจะเล่นตวนี้ก็อาจจะเล่นเป็นแนว turnaround ได้ครับ เพราะบริษัทเจอวิบากกรรมทำให้กำไรลดลงเรื่อยๆ ติดต่อกันมาสี่ปีแล้ว ไม่น่าจะซวยติดต่อกันได้นานขนาดนั้น ถ้ามองในแง่นั้นก็อาจจะ bet กับมันได้ครับ ถ้าปีนี้การท่องเที่ยวฟื้น กำไรก็อาจจะกลับมาดี ก็ได้ ทำให้เราได้กำไรได้ บริษัที่ขาดทุน ราคาหุ้นไม่ได้ลงไปตลอดกาล ก็ต้องมีเด้งบ้างอะไรบ้าง ก็อาจจะลุ้นจากตรงนั้นได้ครับ

    แต่แนว turnaround คงไม่ตรงกับแนวของ 7LTG ซึ่งลงทุนในธุรกจที่บริหารดี เพื่อให้สามารถลงทุนไปได้นานๆ โดยไม่ต้องคอยสับเปลี่ยนหุ้นบ่อยๆ

    ไม่มีถูกไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับแนวการเล่นครับ turnaround ถ้าเก็งถูกนั้นกำไรมหาศาลเลยครับ

  44. คอมเม้นล่าสุดนี้

    อ่านแล้่วเปิดกะลาน้อยๆของผมอีกเช่นเคย

    ขอบคุณมากคับพี่

  45. พี่สุมาอี้ คิดยังไงกับดีล Takeover Qaks Hotels&Resorts ครับ เพราะดูเหมือน
    ว่า Mint แบกรับหนี้สินจำนวนมากจาก Qaks ครับ ขอบคุณมากครับ

  46. ยังไม่มีรายละเอียดของ Oaks เลยครับ วันศุกร์นี้มีประชุม ว่าจะไปสืบดูสักหน่อย

  47. มีข่าวว่าคุณปรารถนา จะย้ายค่ายไปกลุ่ม Central หากเกิดขึ้นจริง
    พี่คิดว่าจะมีผลกับ MINT หรือไม่ครับ

  48. ถ้าเป็นจริงผมว่ามีผลแน่ๆครับ แต่เมื่อก่อนมา mint คุณปรารถนาก็เคยอยู่กับ กลุ่ม Central

    นี้ครับ เห็นแก่บอกว่าที่ย้ายจาก Central ไป mint เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากทำงานอะไร

    ใหม่ๆ และที่สำคัญคุณปรารถนาบอกว่าเพราะคุญวิลเลียม เขาอยากทำงานกับเขาครับ

  49. ถ้ามาเพราะคุณบิล อยู่ได้นานขนาดนี้ก็เยี่ยมแล้วครับ อืมมม แต่ทางเซ็นทรัล ก็ไม่เบานะ
    แต่เอาเหอะ เพื่อเงิน ต้องอดทน

  50. ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าจะมีผลพอสมควรครับ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่งกว่าจะสร้างคนใหม่ที่สามารถทำหน้าที่แบบนี้ได้

  51. พี่โจ๊กถอดmintออกจาก7ltgแล้วเหรอครับ?

  52. mint ยังอยู่ครับ ผมเขียนผิด เบลอ

  53. ^^ นึกว่าพี่โจ๊กกลับไปเอา PTTEP มาใหม่

  54. พี่โจ๊กมองว่าความเสี่ยงในการขยายกิจการโดยใช้กลยุทธ์ M&A แบบ MINT อยู่ที่ตรงไหนครับระหว่างการไปซื้อกิจการที่ไม่ทำกำไรแบบที่คิดไว้ (Case TTA) กับการที่ต้องแบกต้นทุนทางการเงินที่สูงมากเพื่อไปซื้อกิจการ (case Unicord ไปซื้อ Bumble Bee เมื่อหลายสิบปีก่อน)

  55. ผมเห็นตัวเลขที่ ERW เอามาแสดงให้ดูใน opp day ว่าตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทย เหมือนจะมีกลุ่มที่เป็นตลาดล่างเติบโตพอสมควรเลย รบกวนถามพี่โจ๊กหน่อยครับว่าทำไมมองว่าตลาดล่างไม่ได้ดีอย่างที่คิดครับ?

  56. คิดว่า MINT น่าจะมี success rate การซื้อกิจการที่ค่อนข้างดีนะครับ แต่ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า กลยุทธ์ของ MINT สำหรับโรงแรมคือซื้อ asset ที่ mismanaged ทำให้ซื้อได้ในราคาไม่แพง แล้วเอา management เข้าไปทำให้มันดีขึ้นมา เพื่อเพิ่มมูลค่า ดังนั้นอาจจะต้องมอง long-term นิดนึ่ง

    ส่วนอาหารจะซื้อแบรนด์ที่โอเคแล้ว แล้วโตไปพร้อมกัน หรือนำไปต่อยอดขยายธุรกิจ เพราะสำหรับอาหาร ถ้าแบรนด์ไม่อยู่ในใจผู้บริโภคตั้งแต่แรก จะเข็นยากมาก

    ส่วนเรื่องกู้เงินมากเกินไปอันนี้ก็อาจจะเกิดปัญหาได้ครับ บริษัทนี้ค่อนข้าง aggressive เสียด้วย แต่เท่าที่ทราบแผนสามปีนี้ไม่มีเพิ่มทุน และรักษาระดับ d/e ratio ไว้ครับ

    เรื่องตลาดกลางล่างโตดี เพราะนักท่องเที่ยวเอเชียเติบโตกว่ายุโรปนั้น ผมมองว่า โรงแรมระดับ SME อาจเป็นผู้ได้ประโยชน์มากกว่า พวกบริษัทใหญ่ที่ไปซื้อแบรนด์ Budget hotel ระดับโลกมาทำ เพราะตลาดนี้ราคาห้องพักแข่งขันสูงมาก คิดแพงคงอยู่ไม่ได้ ในขณะที่การเอาแบรนด์ต่างประเทศมาทำจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ เพราะเจ้าของแบรนด์ต้องรักษาภาพลักษณ์ เลยทำให้ต้นทุนเสียเปรียบโรงแรม local หรือ SME นะครับ

  57. ขอบคุณสำหรับคำตอบมากๆครับ ^^

  58. ข้องใจอย่างนึงครับ ราคาหุ้นของ mint ย้อนหลังไป 10 ปี ดูแกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ
    ไม่ทราบว่ามีการแตกพาร์ หรืออะไรที่เปลี่ยนแปลงรึเปล่าครับ
    เพราะลองดูข้อมูลการเติบโตย้อนหลังก็ดูสมำ่เสมอดี แต่ราคาทำไมแกว่งจังครับ
    คือผมเพิ่งสนใจในการลงทุนหุ้น ไม่กี่เดือน ไม่ทราบประวัติเก่าๆ ของ mint น่ะครับ

    กลัวว่าถ้าลงทุนแบบถือยาวไปเรื่อยๆ กลายเป็น 10 ปีผ่านไป ราคากลับมาอยู่ที่เดิมแย่เลย

    ขอบคุณครับ

  59. ก็เรื่องที่ MINT โตได้ปีละ 20% ติดต่อกัน 7 ปี แล้วหลังจากบริษัทพยายามโปรโมตเรื่องนี้อย่างหนักกับนักลงทุน การพาให้ราคาหุ้นทะยานไป 17 บาท แล้วหลังจากนั้นการท่องเที่ยวของไทยก็เจอมรสุมแบบต่อเนื่อง พอเจอซัพไพรม์เข้าไป ฟองสบู่ก็เลยแตกโป๊ะพอดี

    อย่างที่เคยบอกไว้แล้ว เชื่อว่าบริษัทนี้ยังเติบโตในระยะยาวได้ แต่จะต้องปรับโครงสร้างรายได้ไม่ให้พึ่งพาการท่องเที่ยวไทยมากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งจะต้องอาศัยการสร้างธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติม ซึ่งคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีเหมือนกัน กว่าจะปรับโครงสร้างส่วนนี้ได้สำเร็จ ดังนั้น คิดว่าช่วงนี้ MINT คงไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่คิดว่าในระยะยาวน่าจะกลับมามั่นคงได้ครับ

  60. ปีที่แล้ว MINT ประกาศแผนลงทุน medium term ว่าจะ focus ที่อาหารมากที่สุดคือ 60% ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลกับภาวะเศรษฐกิจขึ้นๆ ลงๆ
    แต่ผ่านมา 1 ปีเห็นมีแต่ไปขยายฝั่งโรงแรม ทั้งที่เศรษฐกิจลูกผี ลูกคนแบบนี้
    พี่โจ๊กมองว่าการทำแบบนี้จะเข้าทำนองเปลี่ยนม้ากลางศึกทำให้แพ้สงครามหรือว่าเป็นการ bet ของบริษัทครับว่าถ้าลงทุนโรงแรมในช่วงแบบนี้ถ้าไม่มีวิกฤตรอบใหม่จริงๆจะได้ return เป็นกอบเป็นกรรมกว่าลงทุนในอาหาร

  61. ก็อาจจะเป็นเรื่องของความเร็วในการปิดดีลด้วย ดีลโรงแรมอาจจะปิดได้เร็วกว่า อีกทั้งกลุ่มอาหารของ mint มีวัฒนธรรมที่ค่อนข้าง conservative คิดนาน ต่างกับกลุ่มโรงแรมที่ค่อนข้างใจถึง

    สองปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของโรงแรมมีให้เห็นอยู่ แต่ว่าช้ามาก ปีนี้ occupancy rate เพิ่มจาก 40% เมื่อปีก่อนไปเป็น 50 % แล้ว แต่ก็ยังแต่ถ้าฟืื้นตัวเต็มที่จริงๆ ต้องได้ 60% ก่อนที่จะสามารถขึ้นราคาค่าห้องได้ ก็ถือได้ว่าโรงแรมยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยังต้องใช้เวลาอีก

    ก็ยังดีที่ครึ่งปีแรกกำไรไป 1100 ล้าน ซึ่งเทียบกับปีที่เคยได้กำไรมากที่สุดทั้งปีคือ 1900 ล้าน แสดงว่าปีนี้บริษัทน่าจะกลับมาทำกำไรสูงสุดได้เป็นปีแรกโดยไม่ยากเย็นนัก ก็นับว่ายังมีเรื่องให้น่าชื่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังรอว่าเมื่อไร กำไรจะสูงสุดในแง่กำไรต่อหุ้นด้วย เมื่อนั้นก็แปลว่า ที่เลือก bet กับ mint ไป ยังไม่เสียเปล่า หุหุ

Comments are closed.